1. ความสามารถของคนเสมือนไร้ความสามารถ
มาตราสำคัญ
32
สาระสำคัญ
- ตามมาตรา 32 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า บุคคลใดมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ หรือติดสุรายาเมา หรือมีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้น จนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว เมื่อบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๘ ร้องขอต่อศาล ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ หมายความว่า
- คำว่า บุคคลใด หมายถึง คนทุกคนที่มีสภาพบุคคล ตามมาตรา 15 ไม่ว่าจะมีอายุเท่าใด ก็อยู่ในความหมายตามวรรคนี้ทั้งสิ้น
- คำว่า มีกายพิการ หมายถึง มีร่างกายพิการไม่ว่าจะเป็นมาตั้งแต่เกิด หรือเพิ่งเป็นในภายหลังเนื่องจากป่วย หรือเพราะอุบัติเหตุ หรือเพราะถูกทำร้าย หรือเพราะการเล่นกีฬา จนทำให้ทำนิติกรรม หรือทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ลำบากกว่าบุคคลที่มีร่างกายปกติมาก เช่น ตาบอด หรือหูหนวกและเป็นใบ้ หรือเป็นไม่สามารถขยับร่างกายตั้งแต่เอวลงไปได้ ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นตลอดเวลา หรือต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา แต่ยังสามารถเขียนหนังสือ หรือพูดคุยกับคนอื่นได้
- กายพิการตามความหมายในวรรคนี้ ไม่ถึงขนาดที่ไม่สามารถทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน หรือทำนิติกรรมใด ๆ ได้เลย เช่น นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงตลอดเวลา ซึ่งเป็นลักษณะของคนไร้ความสามารถตามมาตรา 28 ตามความในวรรคนี้มีความหมายเพียงว่า บุคคลที่มีร่างกายพิการนั้นยังสามารถทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน หรือทำนิติกรรมใด ๆ ได้อยู่ เพียงแต่ทำได้ลำบากกว่าคนปกติมาก จนต้องมีคนเข้ามาคอยช่วยเหลือให้คำปรึกษาเพื่อให้เกิดความรอบคอบขึ้นในการทำนิติกรรมที่สำคัญเท่านั้น
- คำว่า มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หมายถึง มีความนึกคิด หรือสติปัญญาแตกต่างจากคนปกติทั่วไป ที่เรียกว่า บ๊อง หรือบ้า ๆ บอ ๆ หรือป้ำ ๆ เป้อ ๆ ซึ่งอาจทำให้หลงเชื่อคนอื่นที่มาพูดชักจูงได้ง่ายกว่าคนปกติเท่านั้น ไม่ถึงขนาดไม่เข้าใจความหมายของการกระทำของตนเอง ที่เรียกว่า เป็นบ้า ซึ่งเป็นลักษณะของคนไร้ความสามารถตามมาตรา 28
- จิตฟั่นเฟือน คือ ความนึกคิด หรือความเข้าใจต่อเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแตกต่างจากคนปกติทั่วไป เช่น ได้ยินเสียงสั่งการให้ทำเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ หรือเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ มีอำนาจทำเรื่องต่าง ๆ ได้เหนือกว่าคนปกติทั่วไป
- ไม่สมประกอบ คือ บกพร่อง หรือไม่เป็นไปตามปกติ หรือไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่เรียกว่า เพี้ยน
- คำว่า ประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ หมายถึง ใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย ไม่มีเหตุผล และไม่สามารถจะห้ามตนเองให้หยุดใช้จ่ายเงินได้ ในกรณีนี้ต้องมีลักษณะเป็นอาจิณ คือ อย่างสม่ำเสมอ หรือเป็นประจำด้วย
- เสเพล คือ ประพฤติเหลวไหล หรือประพฤติไปในทางเสื่อม หรือไม่ทำงานทำการ ไม่ได้จำกัดเฉพาะ การเที่ยวเตร่ในเวลากลางคืน หรือมีความประพฤติเสื่อมเสียในทางชู้สาว เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังหมายความรวมถึง การพนัน หรือการมั่วสุมทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ด้วย เช่น เข้าร่วมสมาคมลับซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการทำผิดกฎหมาย หรือเข้าร่วมแข่งรถในทางสาธารณะ
- ตามวรรคนี้ไม่ได้กำหนดว่า บุคคลที่ประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณจะต้องมีฐานะอย่างใด ดังนั้น แม้บุคคลที่ประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณนั้น จะมีฐานะร่ำรวยก็อยู่ในความหมายตามวรรคนี้เช่นกัน
- คำว่า ติดสุรายาเมา หมายถึง เสพติดของมึนเมาต่าง ๆ ไม่ได้มีความหมายเฉพาะสุรา หรือเหล้า หรือเบียร์ หรือเครื่องดื่มที่ทำให้มึนเมาเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึง ยาเสพติด หรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เช่น ทินเนอร์ หรือยาหลอนประสาทต่าง ๆ ด้วย
- คำว่า มีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกัน หมายถึง ในเรื่องอื่น ๆ ด้วยที่จะทำให้บุคคลนั้นไม่สามารถทำนิติกรรม หรือทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เหมือนอย่างคนปกติ และมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของตนเอง หรือครอบครัวได้ง่าย เช่น ติดเกมส์คอมพิวเตอร์มากจนไม่ไปเรียนหนังสือ หรือไม่ทำงาน หรือไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่นในชีวิตประจำวันเหมือนคนปกติทั่วไปเลย
- เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เผื่อไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถตีความข้อความหรือความหมายในวรรคนี้ครอบคลุมถึงข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจจะยังนึกไม่ถึง หรือยังไม่เข้าใจ หรือยังไม่เกิดขึ้นในขณะร่างกฎหมาย หรือในปัจจุบัน เป็นการบัญญัติกฎหมายเพื่ออุดช่องว่างของกฎหมายในลักษณะหนึ่ง
- คำว่า จนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้ หมายถึง ไม่สามารถทำนิติกรรม หรือทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้มีความหมายถึงว่า บุคคลนั้นไม่สามารถทำนิติกรรม หรือทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เลย จนต้องมีคนอื่นเข้ามาช่วยทำนิติกรรม หรือทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันให้แทน ซึ่งเป็นลักษณะของคนไร้ความสามารถ ตามมาตรา 28
- คำว่า หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว หมายถึง บุคคลนั้นยังสามารถทำนิติกรรม หรือทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เอง แต่การทำนิติกรรม หรือทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันนั้น มีแนวโน้มที่จะเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัวได้ เช่น ชอบซื้อของโดยให้เงินไปเกินกว่าราคาของเป็นจำนวนมาก เป็นประจำ จนทรัพย์สินที่มีอยู่ของตนเอง หรือครอบครัวน้อยลงอย่างรวดเร็ว หรือไม่พอใช้จ่ายในบางเดือน
- คำว่า เมื่อบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๘ ร้องขอต่อศาล หมายถึง บุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 สามารถที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลเยาวชนและครอบครัว ให้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และแต่งตั้งผู้พิทักษ์ตามความในวรรคสองได้
- คำร้องขอตามวรรคนี้ เป็นการใช้สิทธิทางศาล หรือเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท หรือเป็นคดีฝ่ายเดียว ตามป.วิ.พ. มาตรา 55 ไม่ถือเป็นการพิพาทกับบุคคลที่ระบุไว้ในวรรคนี้ ดังนั้น ผู้สืบสันดานของบุคคลที่ระบุไว้ในวรรคนี้ ย่อมยื่นคำร้องขอต่อศาลตามวรรคนี้ได้ ไม่เป็นกรณีที่ผู้สืบสันดานฟ้องบุพการีของตน ซึ่งเป็นคดีอุทลุม ตามมาตรา 1562
- การร้องขอตามวรรคนี้ บุคคลที่ระบุไว้ในวรรคนี้ไม่สามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้ตนเองเป็นคนไร้ความสามารถได้เอง ต่างจากการยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ตามมาตรา 36 ซึ่งบุคคลที่ระบุไว้ในวรรคนี้ซึ่งศาลมีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว สามารถที่จะยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลเองได้
- หากอ้างว่า วรรคนี้บัญญัติว่าอย่างไร ต้องเขียนเลขมาตราด้วยตัวเลขภาษาไทย คือ มาตรา ๒๘ หากเขียนเลขมาตราด้วยตัวเลขอารบิค คือ มาตรา 28 ไม่ถือว่าถูกต้อง แต่หากเป็นการอธิบายความทั่วไป สามารถเขียนเลขมาตราด้วยตัวเลขอารบิคได้
- คำว่า ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ หมายถึง ศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลที่ระบุไว้ในวรรคนี้ เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือจะยกคำร้องขอที่ได้ยื่นตามวรรคนี้ก็ได้ ไม่ได้เป็นการผูกมัดให้ศาลต้องมีคำสั่งให้บุคคลที่ระบุไว้ในวรรคนี้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เป็นความหมายเดียวกับคนไร้ความสามารถ ตามมาตรา 28
- ตามมาตรา 32 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดให้อยู่ในความพิทักษ์ การแต่งตั้งผู้พิทักษ์ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายนี้ หมายความว่า
- คำว่า บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง หมายถึง บุคคลที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่งแล้ว
- คำว่า ต้องจัดให้อยู่ในความพิทักษ์ หมายถึง ก่อนทำนิติกรรมที่สำคัญ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 34 ของคนเสมือนไร้ความสามารถ ต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลหนึ่งที่เรียกว่า ผู้พิทักษ์ เสียก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมนั้น จะเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 วรรคห้า
- แตกต่างจากการทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถ ซึ่งในการทำนิติกรรมต่าง ๆ คนไร้ความสามารถ จะต้องทำโดยผู้อนุบาลทั้งหมด มิฉะนั้น นิติกรรมนั้นจะเป็นโมฆียะตามมาตรา 29 หรือแม้ว่าคนไร้ความสามารถจะได้รับความยินยอม หรือความเห็นชอบ หรือคำอนุญาตจากผู้อนุบาลก่อนที่จะไปทำนิติกรรมดังกล่าวก็ตาม นิติกรรมนั้นก็ยังเป็นโมฆียะตามมาตรา 29 เช่นกัน
- คำว่า การแต่งตั้งผู้พิทักษ์ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายนี้ หมายถึง การที่ศาลจะมีคำสั่งแต่งตั้งบุคคลใดเป็นผู้พิทักษ์ของบุคคลที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่งแล้ว ต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1463 , 1569 , 1569/1
- หากอ้างว่า วรรคนี้บัญญัติว่าอย่างไร ต้องเขียนเลขบรรพด้วยตัวเลขภาษาไทย คือ บรรพ ๕ หากเขียนเลขบรรพด้วยตัวเลขอารบิค คือ บรรพ 5 ไม่ถือว่าถูกต้อง แต่หากเป็นการอธิบายความทั่วไป สามารถเขียนเลขบรรพด้วยตัวเลขอารบิคได้
- ตามมาตรา 32 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการสิ้นสุดของความเป็นผู้ปกครองในบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายนี้ มาใช้บังคับแก่การสิ้นสุดของการเป็นผู้พิทักษ์โดยอนุโลม หมายความว่า เมื่อศาลได้มีคำสั่งแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นผู้พิทักษ์ของคนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่งแล้ว การสิ้นสุดของความเป็นผู้พิทักษ์ ต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1598/6 , 1598/7 , 1598/8
- หากอ้างว่า วรรคนี้บัญญัติว่าอย่างไร ต้องเขียนเลขบรรพด้วยตัวเลขภาษาไทย คือ บรรพ ๕ เช่นเดียวกับความหมายที่บัญญัติไว้ในวรรคสอง