การอุดช่องว่างของกฎหมาย คือ การที่ไม่มีกฎหมายที่ใช้อยู่จะนำมาปรับ หรือวินิจฉัยกับข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นได้ ตามมาตรา 4 ป.พ.พ.
1. ให้วินิจฉัยคดีตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ซึ่งเท่าที่ปรากฏศาลเคยนำประเพณีในเรื่องการหมั้น และการให้สินสอดกัน มาใช้วินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้นเท่านั้น
ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านี้
2. ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบเคียงบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง คือ บทบัญญัติในกฎหมายที่ใช้บังคับกับข้อเท็จจริงอื่นที่ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีที่กำลังวินิจฉัยอยู่
ถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มี ให้
3. ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป คือ หลักกฎหมายโรมัน ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในรูปของสุภาษิตกฎหมาย เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ( pacta sunt servanda ) กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ( acta exteriora indicant interiora secreta ) ไม่มีความผิดถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด ( nullum crimen sine lege ) ไม่มีโทษถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด ( nulla poena sine lege ) ความยินยอมไม่เป็นละเมิด ( volenti non fit injuria ) ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ( nemo dat qui non habet ) หลักกฎหมายทั่วไป ก็คือ แนวความคิดที่เรานำมาบัญญัติเป็นกฎหมายแต่ล่ะมาตราที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน โดยได้เพิ่มเติมหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมากขึ้น ดังนั้น ป.พ.พ. มาตรา 4 จึงบัญญัติให้สามารถนำ หลักกฎหมายทั่วไปมาใช้วินิจฉัยคดีได้ ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรง