มาตราสำคัญ
15 , 19
สาระสำคัญ
- ตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย หมายความว่า
- คำว่า สภาพบุคคล หมายถึง การเป็นบุคคลตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายต่าง ๆ สามารถมีสิทธิ หรือใช้สิทธิ หรือมีเสรีภาพ หรือมีหน้าที่ หรือมีความรับผิดได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ การเป็นบุคคลตามความหมายในวรรคนี้ ไม่ได้มีความหมายเพียงเฉพาะตามป.พ.พ.นี้เท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลตามกฎหมายอื่น ๆ ด้วย เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลรัษฎากร ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ
- ในโลกของความเป็นจริง หรือตามรูปธรรมที่เกิดขึ้น คนทุกคนย่อมเป็นมนุษย์ สามารถมีการกระทำโดยเคลื่อนไหวร่างกาย หรืองดเว้น หรือละเว้นการกระทำโดยไม่เคลื่อนไหวร่างกายได้ แต่มนุษย์ดังกล่าว หากจะมีสิทธิ หรือใช้สิทธิ หรือมีเสรีภาพ หรือมีหน้าที่ หรือมีความรับผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้นั้น กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้อีกว่า มนุษย์คนนั้นจะต้องมีตัวตน หรือมีรูปธรรมขึ้นในโลกของกฎหมาย ที่เรียกว่า สภาพบุคคล ด้วย มนุษย์คนนั้นจึงจะสามารถมีสิทธิ หรือใช้สิทธิ หรือมีเสรีภาพ หรือมีหน้าที่ หรือมีความรับผิดต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้กฎหมายได้
- บุคคลตามกฎหมาย แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
- 1. บุคคลธรรมดา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้
- 2. นิติบุคคล คือ กองทรัพย์สิน หรือกลุ่มคน หรือกลุ่มนิติบุคคล หรือสัญญา ที่มีกฎหมายกำหนดให้มีสภาพบุคคล หรือเป็นบุคคลตามกฎหมาย เมื่อมีกฎหมายฉบับหนึ่งกำหนดให้เป็นนิติบุคคลแล้ว นิติบุคคลนั้นย่อมถือเป็นบุคคลตามกฎหมายอื่น ๆ ด้วย เช่น ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด หรือสมาคม หรือมูลนิธิ เมื่อเป็นนิติบุคคลตามป.พ.พ.นี้แล้ว ย่อมถือเป็นบุคคลตามป.อ. หรือตามประมวลรัษฎากร หรือตามประมวลกฎหมายที่ดินด้วย
- 3. นิติบุคคลที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ คือ กฎหมายฉบับนั้น ๆ ได้กำหนดให้จัดตั้งนิติบุคคลขึ้นเพียงนิติบุคคลเดียวเท่านั้น เช่น การกีฬาแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย นิติบุคคลนั้นย่อมถือเป็นบุคคลตามกฎหมายอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน นิติบุคคลตามข้อนี้มักเป็นหน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรของรัฐต่าง ๆ
- ข้อแตกต่างระหว่างนิติบุคคลตามข้อ 2. กับข้อ 3. คือ ตามข้อ 3. กฎหมายนั้น ๆ จะไม่มีการจัดตั้งนิติบุคคลที่ 2 หรือที่ 3 ขึ้นมาอีก ส่วนตามข้อ 2. เมื่อกองทรัพย์สิน หรือกลุ่มคน หรือสัญญา มีการดำเนินการครบถ้วนตามที่กำหนดไว้แล้ว กองทรัพย์สิน หรือกลุ่มคน หรือสัญญานั้น ย่อมมีสภาพเป็นนิติบุคคลที่ 2 หรือที่ 3 ขึ้นต่อไปอีกหลายนิติบุคคลก็ได้ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องจัดตั้งนิติบุคคลตามกฎหมายนั้น ได้เพียงนิติบุคคลเดียวเท่านั้น เช่น ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด หรือสมาคม หรือมูลนิธิตามป.พ.พ. ย่อมสามารถจัดตั้งเป็นนิติบุคคลขึ้นมากมายกี่นิติบุคคลก็ได้
- บุคคลตามกฎหมาย แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
- ในโลกของความเป็นจริง หรือตามรูปธรรมที่เกิดขึ้น คนทุกคนย่อมเป็นมนุษย์ สามารถมีการกระทำโดยเคลื่อนไหวร่างกาย หรืองดเว้น หรือละเว้นการกระทำโดยไม่เคลื่อนไหวร่างกายได้ แต่มนุษย์ดังกล่าว หากจะมีสิทธิ หรือใช้สิทธิ หรือมีเสรีภาพ หรือมีหน้าที่ หรือมีความรับผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้นั้น กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้อีกว่า มนุษย์คนนั้นจะต้องมีตัวตน หรือมีรูปธรรมขึ้นในโลกของกฎหมาย ที่เรียกว่า สภาพบุคคล ด้วย มนุษย์คนนั้นจึงจะสามารถมีสิทธิ หรือใช้สิทธิ หรือมีเสรีภาพ หรือมีหน้าที่ หรือมีความรับผิดต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้กฎหมายได้
- ย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้ว หมายถึง การมีสภาพบุคคลของคนทุกคนนั้น ย่อมเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อทำคลอดจนเด็กนั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้ต่างหากจากมารดา เช่น หายใจเองได้ แม้ว่าการคลอดนั้นอาจจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม เช่น ยังไม่ได้ตัดสายสะดือของเด็ก ก็ถือว่าเด็กนั้นคลอดแล้ว ส่วนการกระทำอย่างอื่น ๆ เช่น การตัดสายสะดือของเด็ก การอาบน้ำเด็ก ถือเป็นการกระทำในส่วนของคนอื่น คือ แพทย์ หรือผู้ทำคลอด เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากการมีชีวิตของเด็ก
- แม้จะใช้คำว่า เริ่มแต่ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายถึงว่า การเริ่มมีสภาพบุคคล หรือการเริ่มนับอายุของบุคคลนั้น จะนับตั้งแต่เวลาเริ่มทำคลอด โดยไม่จำต้องรอให้ทำคลอดเสร็จสิ้น ซึ่งอาจเป็นวันถัดมาอีกวันหนึ่งเสียก่อน แต่หมายถึง จะต้องรอให้มีการทำคลอดเสร็จสิ้นแล้ว และเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ต่างหากจากมารดาได้เองเสียก่อน จึงจะถือว่าเด็กนั้นมีสภาพบุคคล หรืออายุของเด็กนั้นเริ่มนับตั้งแต่เวลาที่ทำคลอดเสร็จสิ้น แม้ว่าขณะเริ่มต้นทำคลอดจะเป็นวันก่อนหน้านั้นก็ตาม แต่หากเมื่อทำคลอดเสร็จสิ้นไม่ว่าในวันนั้นเอง หรือในวันถัดมา เด็กนั้นไม่มีชีวิตอยู่ ดังนี้ ย่อมไม่ถือว่าเด็กนั้นเคยมีสภาพบุคคล หรือเป็นบุคคลตามกฎหมายเลย ไม่ใช่เด็กนั้นมีสภาพบุคคลตามกฎหมายและมีอายุมาแล้ว 1 วัน ซึ่งจะเป็นผลให้เด็กนั้นสามารถถือครองทรัพย์สินต่าง ๆ ได้ และทรัพย์สินของเด็กนั้นย่อมตกเป็นมรดกแก่ทายาท คือ บิดามารดา ปู่ย่าตายาย หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือร่วมแต่บิดาหรือร่วมแต่มารดาเดียวกัน หรือลุงป้าน้าอาของเด็กนั้นได้แต่อย่างใด
- การคลอดเป็นพิธีการที่ทำให้บุคคลนั้นมีสภาพบุคคล แต่บุคคลจะมีสิทธิ หรือใช้สิทธิ หรือมีเสรีภาพ หรือมีหน้าที่ หรือมีความรับผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้ บุคคลนั้นจะต้องมีสภาพบุคคลเกิดขึ้นเสียก่อน แต่หากเด็กนั้นไม่สามารถคลอดออกมามีชีวิตอยู่ได้ ถือว่าเด็กนั้นไม่มีการคลอด หรือไม่ผ่านพิธีการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ในกรณีนี้สภาพบุคคลของเด็กนั้นย่อมไม่เคยเกิดขึ้นเลย คงถือว่าเด็กนั้นเป็นเพียงทารกในครรภ์มารดาเท่านั้น
- การคลอดในความหมายนี้ จึงมีลักษณะเหมือนการสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งในขณะที่ทำการสาบานตนแต่ยังไม่เสร็จสิ้นนั้น บุคคลนั้นย่อมยังไม่สามารถมีสิทธิ หรือมีอำนาจ หรือปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนั้นได้ แตกต่างกันตรงที่การสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง เมื่อบุคคลนั้นสาบานตนเสร็จสิ้นแล้ว ย่อมนับเวลาที่บุคคลนั้นเข้าดำรงตำแหน่ง ย้อนไปเริ่มตั้งแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมาก่อนที่จะเข้าทำการสาบานตน ไม่ใช่เริ่มนับเวลาเข้าดำรงตำแหน่งนั้น ตั้งแต่เวลาที่สาบานตนเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งอาจเป็นวันถัดไปอีกวันหนึ่ง หรืออีกหลายวันต่อมา แต่เหมือนกันตรงที่หากบุคคลนั้นไม่สามารถทำการสาบานตนจนเสร็จสิ้นได้ ย่อมไม่ถือว่าบุคคลนั้นเคยดำรงตำแหน่งนั้นมาก่อนเลยเช่นกัน ไม่ใช่ถือว่าบุคคลนั้นเคยดำรงตำแหน่งมาแล้วก่อนทำการสาบานตน การสาบานตนจึงเป็นเพียงพิธีการทำให้บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมาก่อนแล้ว มีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งมาก่อนนั้นแล้ว เป็นคนละขั้นตอนต่างหากจากการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
- คำว่า อยู่รอดเป็นทารก หมายถึง เด็กนั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้เองต่างหากจากมารดา เช่น หายใจได้เอง แม้ว่าการคลอดจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เช่น ยังไม่ได้ตัดสายสะดือของเด็กก็ตาม การอยู่รอด หรือมีชีวิตอยู่ได้เองนี้ วรรคนี้ก็ไม่ได้จำกัดเวลาเอาไว้ว่า จะต้องเป็นเวลานานเท่าใด ดังนั้น เด็กอาจจะมีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่วินาที หรือไม่กี่นาที หรือไม่กี่ชั่วโมง หรือเพียง 1 วันหรือ 2 วัน หรือหลายสิบปี วรรคนี้คงถือเพียงว่า เด็กนั้นไม่ได้ตลอดออกมาโดยไม่มีชีวิต ก็อยู่ในความหมายนี้ทั้งสิ้น ซึ่งคงต้องถือข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของแพทย์เป็นสำคัญ
- คำว่า และสิ้นสุดลงเมื่อตาย หมายถึง สภาพบุคคลนั้น ย่อมหมดไปเมื่อบุคคลนั้นถึงแก่ความตายตามกฎหมายแล้ว อันเป็นผลให้ทรัพย์สิน หรือสิทธิ หรือหน้าที่ หรือความรับผิดที่ไม่เป็นการเฉพาะตัวของบุคคลนั้น ย่อมต้องตกทอดเป็นมรดก หรือตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายต่อไป
- การตาย ตามป.พ.พ. ของบุคคลธรรรมดา มี 2 ประเภท คือ
- 1. การตายตามธรรมชาติ คือ การเสียชีวิตไม่ว่าจะโดยธรรมชาติ เนื่องจากบุคคลนั้นอายุมาก หรือเป็นโรค หรือถูกทำให้ตายไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ ก็อยู่ในความหมายนี้ทั้งสิ้น
- 2. การสาบสูญ ตามมาตรา 61 ซึ่งมีผลตามมาตรา 62 ที่บัญญัติให้บุคคลซึ่งศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าถึงแก่ความตายย้อนหลังไปเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา 61 แล้ว ไม่ใช่ให้ถือว่าถึงแก่ความตายนับแต่เวลาเมื่อศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ
- แต่การตายเนื่องจากเป็นคนสาบสูญนั้น แตกต่างจากการตายตามธรรมชาติ คือ เมื่อคนสาบสูญนั้นกลับมา ย่อมสามารถร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้นได้ และเมื่อศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้ว บุคคลนั้นย่อมกลับมามีสภาพบุคคลตามเดิมต่อไป
- การจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีของนิติบุคคลตามป.พ.พ. หรือการยกเลิกกฎหมายจัดตั้งนิติบุคคลต่าง ๆ ไม่ถือว่า นิติบุคคลนั้นถึงแก่ความตาย การถึงแก่ความตายคงมีได้เฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น
- การตาย ตามป.พ.พ. ของบุคคลธรรรมดา มี 2 ประเภท คือ
- สภาพบุคคลตามมาตรานี้ คงหมายความเฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น ไม่รวมถึงนิติบุคคลด้วย
- คำว่า สภาพบุคคล หมายถึง การเป็นบุคคลตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายต่าง ๆ สามารถมีสิทธิ หรือใช้สิทธิ หรือมีเสรีภาพ หรือมีหน้าที่ หรือมีความรับผิดได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ การเป็นบุคคลตามความหมายในวรรคนี้ ไม่ได้มีความหมายเพียงเฉพาะตามป.พ.พ.นี้เท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลตามกฎหมายอื่น ๆ ด้วย เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลรัษฎากร ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ
- ตามมาตรา 15 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่าง ๆ ได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก หมายความว่า
- คำว่า ทารกในครรภ์มารดา หมายถึง เด็กที่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดา ตามวรรคนี้ก็ไม่ได้จำกัดเวลาเอาไว้ว่า จะต้องปฏิสนธิแล้วเป็นเวลานานเท่าใด ดังนั้น จึงเริ่มนับตั้งแต่เด็กนั้นเริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดาเพียงไม่กี่วินาที หรือปฏิสนธิในครรภ์มารดาแล้วหลายนาที หรือหลายชั่วโมง หรือหลายวัน หรือหลายเดือน แต่เด็กนั้นยังไม่ได้คลอดออกมาจากตัวมารดา ก็อยู่ในความหมายนี้ทั้งสิ้น การดูว่าเด็กนั้นเริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดา ตั้งแต่เมื่อใดคงต้องถือข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของแพทย์เป็นสำคัญ
- คำว่า ก็สามารถมีสิทธิต่าง ๆ ได้ หมายถึง เด็กนั้นสามารถมีสิทธิ หรือถือครองสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายได้ เช่น เป็นทายาท หรือได้รับโอนสิทธิตามสัญญาให้ หรือตามคำมั่นว่าจะให้ได้ เพียงแต่การมีสิทธิ หรือถือครองสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายของเด็กนั้น จะมีผลสมบูรณ์ต่อเมื่อเป็นไปตามข้อความถัดไปเสียก่อน
- แม้จะใช้คำว่า ก็ แต่มีความหมายว่า เด็กนั้นสามารถมีสิทธิต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้ ไม่ได้หมายความว่า เด็กนั้นอาจมีสิทธิหรือไม่มีสิทธิก็ได้
- คำว่า หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก หมายถึง เด็กซึ่งมีสิทธิ หรือถือครองสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายไว้แล้ว ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น จะสามารถมีสิทธิ หรือถือครองสิทธิต่าง ๆ หรือใช้สิทธินั้นต่อไปได้อย่างสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อตนเองมีสภาพบุคคลตามวรรคหนึ่งเสียก่อนเท่านั้น
- หากเด็กนั้นเมื่อคลอดออกมาแล้วไม่มีชีวิตอยู่ สิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายที่เด็กนั้นมี หรือถือครองไว้ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น ย่อมเป็นอันระงับไป ไม่สามารถก่อให้เกิดผลใด ๆ ขึ้นตามกฎหมาย หรือไม่สามารถตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาทของตนต่อไปได้
- หากเด็กนั้นคลอดออกมาชีวิตอยู่แม้จะเพียงไม่กี่วินาที หรือไม่กี่นาที หรือไม่กี่ชั่วโมง หรือเพียง 1 วันหรือ 2 วัน ก็ถือว่าสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายที่เด็กนั้นมี หรือถือครองอยู่ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดา ย่อมเป็นอันมีอยู่ต่อไปได้อย่างสมบูรณ์ และก่อให้เกิดผลต่าง ๆ ขึ้นตามกฎหมาย และตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาทของตนต่อไปได้ตามกฎหมาย
- ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของเด็กนั้น ซึ่งตามความเป็นจริงย่อมมีชีวิตเหมือนมนุษย์คนอื่นแล้วในครรภ์มารดา และจะมีสภาพบุคคลตามวรรคหนึ่งในไม่ช้า ให้ไม่ต้องถูกตัดสิทธิเพียงเพราะเด็กนั้นยังไม่ได้คลอดตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งไม่ใช่ความผิดของเด็กนั้น
- ตามมาตรา 19 ที่บัญญัติว่า บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ หมายความว่า
- คำว่า บุคคล หมายถึง บุคคลตามความในมาตรา 15 และรวมถึงนิติบุคคลด้วย
- คำว่า ย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์ หมายถึง คนทุกคนเมื่อคลอดจากครรภ์มารดา แล้วมีชีวิตอยู่เป็นทารก บุคคลนั้นย่อมมีสภาพบุคคลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 นอกจากมีสภาพบุคคล คือ เป็นบุคคลในโลกของกฎหมาย ซึ่งสามารถมีสิทธิ หรือใช้สิทธิ หรือมีเสรีภาพ หรือมีหน้าที่ หรือมีความรับผิดได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว แต่ในการใช้สิทธิตามที่มีอยู่นั้น กฎหมายยังกำหนดเงื่อนไข หรือสภาวะที่เรียกว่า การบรรลุนิติภาวะ เพิ่มเติมขึ้นจากสภาพบุคคลอีก โดยให้บุคคลที่ยังไม่ครบเงื่อนไข หรือการบรรลุนิติภาวะนั้นอยู่ในฐานะที่เรียกว่า ผู้เยาว์ ซึ่งมีความสามารถในการใช้สิทธิ หรือในการทำนิติกรรมต่าง ๆ น้อยกว่าบุคคลปกติ หรือผู้ใหญ่ทั่วไปในสังคม ทั้งนี้เนื่องจากสภาพทางร่างกาย และสติปัญญาของผู้เยาว์ หรือเด็กตามธรรมชาติ ย่อมมีน้อยกว่าผู้ใหญ่โดยทั่วไป เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของเด็กไม่ให้ถูกผู้อื่นเอาเปรียบได้ กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้เยาว์ต้องมีผู้ดูแลช่วยเหลือในการใช้สิทธิ หรือในการทำนิติกรรม ที่เรียกว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง คือ บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือผู้ปกครอง ตามที่กฎหมายกำหนด หรือตามที่ศาลเป็นผู้แต่งตั้ง มาช่วยให้คำอนุญาตในการใช้สิทธิ หรือในการทำนิติกรรมต่าง ๆของผู้เยาว์เสียก่อน การใช้สิทธิ หรือการทำนิติกรรมต่าง ๆ นั้น จึงจะมีผลสมบูรณ์เท่ากับการใช้สิทธิ หรือการทำนิติกรรมของบุคคลอื่น ๆ
- คำว่า และบรรลุนิติภาวะ หมายถึง เงื่อนไข หรือสภาวะที่กฎหมายยอมรับว่า บุคคลซึ่งมีสภาพบุคคลทุกคนสามารถใช้สิทธิที่มีอยู่ หรือในการทำนิติกรรมต่าง ๆ ได้เองโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องมีผู้ดูแลช่วยเหลือให้คำอนุญาตในการใช้สิทธิ หรือในการทำนิติกรรมต่าง ๆ นั้นอีกต่อไป
- คำว่า เมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ หมายถึง เมื่อบุคคลนั้นมีอายุที่เริ่มนับตั้งแต่บุคคลนั้นคลอดออกจากครรภ์มารดา และมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเองแล้ว ครบ 20 ปี ในวันที่ตรงกับวันเกิดของบุคคลนั้น
- การนับอายุบริบรูณ์นี้ คือ การนับจนถึงวันที่ตรงกับวันเกิดของบุคคลนั้น ซึ่งตามภาษาในปัจจุบันเรียกว่า ครบ 20 ปี บริบรูณ์ การนับอายุ 20 ปี เป็นการนับระยะเวลาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 193/5 วรรคสอง ระยะเวลา 20 ปี จึงสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าที่จะถึงวันเกิดของบุคคลนั้นแล้ว 1 วัน ดังนั้น เมื่อถึงวันเกิดของบุคคลนั้น ย่อมถือว่า บุคคลนั้นมีอายุ 20 ปี บริบรูณ์ ตามความหมายในมาตรานี้ ไม่ได้หมายความถึงวันรุ่งขึ้นถัดจากวันเกิดของบุคคลนั้น
- ตามมาตรานี้ใช้คำว่า อายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ดังนั้น ในการกล่าวอ้างว่า มาตรานี้บัญญัติไว้ว่าอย่างไร ต้องใช้ถ้อยคำนี้ จะใช้ว่า อายุ 20 ปี บริบรูณ์ หรืออายุ ๒๐ ปี บริบรูณ์ หรืออายุครบ 20 ปี บริบรูณ์ หรืออายุครบ ๒๐ ปี บริบรูณ์ ย่อมไม่ถูกต้อง หากเป็นการอธิบายความทั่วไป ก็สามารถใช้ถ้อยคำดังกล่าวได้
- เป็นลักษณะการใช้ตัวเลขในข้อความของภาษาไทยสมัยก่อน ที่มักเขียนจำนวนตัวเลขด้วยตัวอักษร ไม่ใช่เป็นความหมายตามมาตรา 12