1. ดอกเบี้ย

มาตราสำคัญ

7

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา 7 ที่บัญญัติว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน และดอกเบี้ยนั้นมิได้กำหนดอัตราไว้โดยนิติกรรม หรือ โดยบทกฎหมายอันใดอันหนึ่งชัดแจ้งไซร้ ท่านให้ใช้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี หมายความว่า
    • คำว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน หมายถึง จะต้องเสียดอกเบี้ยตามคำพิพากษาซึ่งในปัจจุบันคงมีมูลหนี้ที่นำมาฟ้องร้องเพื่อเรียกดอกเบี้ยเป็นคดีแพ่ง อยู่ 4 ประเภท คือ คดีนิติกรรมหรือสัญญา หรือคดีละเมิด หรือคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน และคดีครอบครัวมรดก เท่านั้น
    • คำว่า ดอกเบี้ยนั้นมิได้กำหนดอัตราไว้โดยนิติกรรม หมายถึง นิติกรรมหรือสัญญานั้นมีข้อกำหนดในเรื่องอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ แต่ไม่ใช่หมายความว่า จะสามารถกำหนดกันไว้ในนิติกรรมหรือสัญญาอย่างไรก็ได้ แล้วก็จะสามารถบังคับกันได้ตามนั้น เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในนิติกรรมหรือสัญญานั้น ผู้ทำนิติกรรม หรือคู่สัญญาสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่เกินอัตราที่ระบุเอาไว้ในกฎหมายเท่านั้น ซึ่งตามป.พ.พ. นอกจากมาตรานี้แล้ว คงมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในมาตรา 654 ในเรื่องการกู้ยืมเงินให้คิดดอกเบี้ยแก่กันได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี อีกเพียงมาตราเดียวเท่านั้น
    • ดังนั้นการคิดดอกเบี้ยตามป.พ.พ. คู่สัญญาหรือคู่ความคงเรียกดอกเบี้ยแก่กันได้ใน 2 แบบ เท่านั้น คือ ร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับการคิดดอกเบี้ยตามมูลหนี้ในป.พ.พ. ทั้งหมด และอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี เฉพาะในเรื่องกู้ยืมเงินเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
    • คำว่า โดยบทกฎหมายอันใดอันหนึ่งชัดแจ้ง หมายถึง มาตรา 654 และกฎหมายอื่น ๆ ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยเอาไว้เป็นอย่างอื่น เช่น พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มาตรา 4 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย มีอำนาจกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงิน อาจคิดจากผู้กู้ยืมหรือคิดให้ผู้ให้กู้ยืมให้สูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้
    • คำว่า ท่านให้ใช้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี หมายถึง ให้คิดดอกเบี้ยสูงสุดได้ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของป.พ.พ. ที่นำไปใช้ในการคิดดอกเบี้ยแก่กันทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องการกู้ยืมเงินตามมาตรา 654 เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังถือเป็นอัตรามาตรฐานที่ศาลนำไปใช้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ต้องใช้ให้แก่กันตามคำพิพากษาในกรณีอื่น ๆ ด้วย ไม่ได้ใช้เฉพาะในคดีแพ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    • การคิดดอกเบี้ยแก่กันที่สูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในปัจจุบันในประเทศไทยคงมีเพียงสถาบันการเงินเท่านั้น ที่สามารถคิดดอกเบี้ยได้เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ตามพ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523

2. เหตุสุดวิสัย

มาตราสำคัญ

8

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา 8 ที่บัญญัติว่า คำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี ไม่มีใครจะป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นจะได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะเช่นนั้น หมายความว่า
    • คำว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี ไม่มีใครจะป้องกันได้ หมายถึง ภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นยักษ์ อุกกาบาต มีแต่เหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเท่านั้น ที่ในปัจจุบันมนุษย์ยังไม่สามารถหาทางป้องกันได้ ดังนั้นเหตุสุดวิสัยตามมาตรานี้ จึงหมายความเพียงเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติเท่านั้น
    • เหตุสุดวิสัยตามมาตรานี้นำไปใช้ในทุกเรื่องตามป.พ.พ. และนอกจากนี้ศาลยังนำเหตุสุดวิสัยตามมาตรานี้ไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ ด้วย ไม่ได้ใช้เฉพาะในคดีแพ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ณ ห้องว่างกลางหมู่ดาว กฎหมาย