1. ยืมใช้คงรูป
มาตราสำคัญ
641 , 643 , 644
สาระสำคัญ
- ตามมาตรา 641 ที่บัญญัติว่า ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม หมายความว่า
- คำว่า บริบูรณ์มีความหมายมากกว่าคำว่า สมบูรณ์
- คำว่า สมบูรณ์ หมายถึง ทำถูกต้องครบถ้วนตามแบบ หรือตามหลักฐานที่กำหนด และเกิดเป็นสัญญาแล้ว เป็นการพิจารณาดูเฉพาะตัวสัญญาเท่านั้น แต่ผลของสัญญาที่เกิดขึ้นจะก่อให้เกิดผลตามที่กฎหมายกำหนดโดยครบถ้วนทุกประการหรือไม่ ในความหมายนี้ไม่ได้พิจารณาถึงขนาดนั้น
- แต่คำว่า บริบูรณ์ หมายถึง นิติกรรมนั้นเกิดเป็นสัญญาแล้ว และสัญญาที่เกิดขึ้นได้ก่อให้เกิดผลตามที่กฎหมายกำหนดโดยครบถ้วนทุกประการแล้ว เป็นการพิจารณาดูทั้งตัวสัญญา และผลที่เกิดขึ้นของสัญญาด้วย
- คำว่า บริบูรณ์นี้ จะพบได้ในเรื่อง ทรัพย์ ตามมาตรา 1299 ด้วย ในความหมายตามมาตรา 1299 หมายความว่า การทำนิติกรรมเป็นบุคคลสิทธิ ก่อให้เกิดผลขึ้น คือ สิทธิหน้าที่ระหว่างคู่สัญญา แต่ถ้าทำตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว จะก่อให้เกิดทรัพยสิทธิ คือ กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน หรือสิทธิเก็บกิน ซึ่งเป็นสิทธิคนละประเภทกัน ขึ้นตามที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย เป็นการก่อให้เกิดผล คือ เกิดสิทธิขึ้นทั้งสองประเภท คือทั้งบุคคลสิทธิ และทรัพยสิทธิ จึงใช้คำว่า บริบูรณ์
- สัญญายืมใช้คงรูปไม่มีแบบ หรือหลักฐาน การส่งมอบทรัพย์สิน ก็ไม่ใช่แบบ หรือหลักฐานของสัญญายืม เป็นเพียงพิธีการอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของสัญญานี้เท่านั้น
- สัญญายืมใช้คงรูป สามารถยืมได้ทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งสามารถยืมทรัพย์ที่ใช้ไปสิ้นไปได้ด้วย แต่ต้องไม่นำทรัพย์นั้นไปใช้ตามปกติของทรัพย์ที่ทำให้สิ้นไป เช่น ยืมบุหรี่เพื่อนำไปแสดงในงานแสดงสินค้าเท่านั้น ไม่ได้นำไปใช้สูบ
- สัญญายืมใช้คงรูป สาระสำคัญอยู่ที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ให้ยืม และไม่มีค่าตอบแทน ถ้ามีค่าตอบแทนจะกลายเป็นการเช่าทรัพย์สิน และไม่ได้อยู่ที่ประเภทของทรัพย์ที่ให้ยืมว่า ทรัพย์นั้นจะต้องเป็นทรัพย์ที่คงรูปอยู่หรือไม่
- สัญญายืมใช้คงรูป ผู้ยืมต้องส่งมอบทรัพย์ที่ให้ยืมชิ้นเดิม หมายความว่า กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้ยืมไม่ได้โอนไปยังผู้ยืมด้วย ผู้ยืมคงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นก็คือ หากมีผู้มาทำละเมิดทรัพย์ที่ให้ยืม ผู้ให้ยืมก็ถือเป็นผู้ถูกทำละเมิดด้วย นอกเหนือไปจากผู้ยืมที่ถือว่าเป็นผู้ถูกทำละเมิดชั้นต้นอยู่แล้ว
- การส่งมอบทรัพย์สิน ทำได้หลากหลายวิธี เช่น
- 1. ทำโดยการกระทำ เช่น ยื่นให้ ยกมาให้ ขับมาส่งให้ ส่งไปรษณีย์มาให้ ฝากคนไว้ให้
- 2. ทำโดยส่งมอบทรัพย์อีกชิ้นหนึ่งให้ เช่น ส่งมอบบ้านโดยการส่งมอบกุญแจบ้าน ส่งมอบรถโดยการส่งมอบกุญแจรถให้ ส่งมอบที่ดินโดยการส่งมอบโฉนดให้ยึดถือไว้แทน
- 3. ทำโดยจดทะเบียนให้ เช่น ส่งมอบรถยนต์ โดยจดทะเบียนใส่ชื่อผู้ยืมให้เป็นผู้ครอบครอง (ในปัจจุบันยังไม่มีการจดทะเบียนให้ยืม)
- 4. ทำโดยแจ้งแก่ผู้เก็บรักษาทรัพย์ว่า ได้โอนทรัพย์นั้นให้แก่ผู้ยืมแล้ว ให้ผู้เก็บรักษาทรัพย์มอบทรัพย์นั้นแก่ผู้ยืมเพื่อนำไปใช้ตามที่ขอยืมได้ เช่น การส่งมอบภาพเขียนมีราคาสูงซึ่งเก็บรักษาไว้ที่ผู้มีอาชีพเก็บรักษาอีกที่หนึ่ง ไม่ได้เก็บไว้ที่ผู้ให้ยืม
- ตามมาตรา 643 กำหนดหน้าที่ในการใช้สอยทรัพย์ที่ให้ยืมของผู้ยืม ไว้ 4 อย่าง คือ
- 1. เอาไปใช้อย่างอื่นนอกจากที่ใช้ตามปกติของทรัพย์นั้น เช่น รถยนต์ก็ต้องนำไปขับเพื่อการเดินทาง จะนำไปขับแข่งขันไม่ได้
- 2. นอกจากที่ปรากฏในสัญญาก็ดี คือ อาจจะกำหนดการใช้ไว้เป็นพิเศษ ให้สามารถใช้สอยได้เกินกว่า หรือนอกเหนือไปจากการใช้สอยตามปกติของทรัพย์ก็ได้ แต่จะใช้สอยเกินไปกว่าที่กำหนดในสัญญาต่อไปอีกไม่ได้ เช่น รถยนต์ตามปกติต้องนำไปขับเพื่อการเดินทาง แต่อาจกำหนดในสัญญาให้นำไปขับแข่งขันได้ ก็สามารถจะนำไปขับแข่งขันได้ แต่จะนำไปขับโชว์ผาดโผนในการแสดงไม่ได้
- 3. เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี คือ นำไปให้บุคคลที่สามใช้ไม่ได้ แม้ว่าบุคคลที่สามนั้นจะนำไปใช้สอยตามปกติก็ไม่ได้ แต่ในกรณีนี้ บุคคลในครอบครัวของผู้ยืม เช่น ลูก หลาน สามีหรือภริยา ลูกจ้างในบ้าน ไม่ถือเป็นบุคคลภายนอก ในความหมายนี้ รวมถึงนำไปให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไว้ก็ไม่ได้ การนำไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย บุคคลภายนอกย่อมต้องมีการเก็บรักษาทรัพย์ที่ให้ยืมด้วย ในทางกลับกันการนำไปให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไว้ บุคคลภายนอกก็อาจนำออกไปใช้สอยได้ ดังนั้นการนำไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือการนำไปให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไว้ จึงมีลักษณะเดียวกัน หรือคล้ายกัน บางครั้งไม่สามารถแยกออกได้
- 4. เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี คือ ยืมโดยระบุว่าจะนำไปใช้กรณีใด เมื่อกรณีดังกล่าวเสร็จสิ้นหรือผ่านพ้นไปแล้ว ถือว่ามีหน้าที่ต้องคืน ถ้ายังไม่คืนถือว่าเอาไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้แล้ว เช่น ยืมจานชามของวัด บอกว่าจะนำไปใช้ในงานแต่งงาน เมื่อจัดงานแต่งงานแล้วก็ต้องคืน แต่อาจจะคืนวันสองวันต่อมาได้เพื่อการทำความสะอาด หรือยังไม่ว่างจะนำไปคืนเพราะยังยุ่งอยู่ แต่ถ้าหลายวันแล้วก็ยังไม่เอาไปคืนถือว่าเอาไว้นานเกินกว่าที่ควรจะเอาไว้แล้ว
- ถ้าทำผิดหน้าที่ 4 อย่างนี้ ตามมาตรานี้กำหนดให้ผู้ยืมต้องรับผิดในความสูญหาย คือ ทรัพย์ที่ยืมหายไปทั้งชิ้นไม่เหลือซากอยู่ บุบสลาย ตรงกับภาษาในปัจจุบัน คือ เสียหายจะเสียหายทั้งชิ้น แต่ยังเหลือซากอยู่ หรือจะเสียหายบางส่วนก็ได้ แม้จะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย คือ ภัยพิบัติจากธรรมชาติ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 8 ซึ่งตามปกติไม่ต้องรับผิด ถือเป็นการกำหนดความรับผิดในขั้นสูงสุดในป.พ.พ.
- คำว่า ถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั่นเอง คือ เป็นกรณีของทรัพย์ที่เสื่อมสลายไปโดยสภาพ เช่น อาหาร หรือของสด หรือของที่เสื่อมสลายได้ง่ายเป็นปกติ เช่น น้ำมัน หรือแอลกอฮอล์ที่สามารถระเหยได้ตามสภาพ ถึงแม้จะส่งมอบตามกำหนดน้ำมัน หรือแอลกอฮอล์นั้นก็คงต้องระเหยไปบางส่วนอยู่ดี ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้ยืมจะส่งมอบเกินกำหนด และน้ำมัน หรือแอลกอฮอล์นั้นได้ระเหยไปบางส่วน ในกรณีนี้ไม่ถือว่า น้ำมัน หรือแอลกอฮอล์นั้นสูญหาย หรือบุบสลาย
- ตามมาตรา 644 กำหนดหน้าที่ในการเก็บรักษาทรัพย์ที่ให้ยืมของผู้ยืมไว้ในระดับ วิญญูชน คือ คนธรรมดา หรือสาธารณชนในสังคมโดยทั่วไป
- คำว่า จะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง คือ เป็นความระมัดระวังโดยเฉลี่ยของคนธรรมดา หรือสาธารณชนในสังคม ถือเป็นการใช้ความระมัดระวังในระดับปานกลาง ไม่ใช่ในระดับสูงสุด คือ ระดับของผู้มีอาชีพ หรือมีวิชาชีพ หรือระดับที่ไม่มีมาตรฐานชัดเจน คือ ระดับที่ใช้ในกิจการของผู้ยืมเอง ซึ่งอาจจะสูงกว่าระดับวิญญูชน หรืออาจจะต่ำกว่าระดับวิญญูชนก็ได้ ถือเป็นระดับที่ไม่มีความแน่นอน
2. ยืมใช้สิ้นเปลือง
มาตราสำคัญ
650
สาระสำคัญ
- ตามมาตรา 650 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม หมายความว่า
- คำว่า บริบูรณ์ และส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม เป็นความหมายเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา 641
- สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ผู้ยืมไม่ต้องส่งมอบทรัพย์ที่ยืมชิ้นเดิมคืน สามารถนำทรัพย์ชิ้นใหม่ในชนิด และปริมาณเดียวกันมาส่งคืนได้ หมายความว่า กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยืมได้โอนไปยังผู้ยืมแล้วเมื่อส่งมอบทรัพย์ที่ยืม ไม่ใช่ผู้ยืมคงมีเพียงสิทธิครอบครองเหมือนอย่างการยืมใช้คงรูปเท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นก็คือ หากมีผู้มาทำความเสียหายแก่ทรัพย์ที่ยืม ผู้ให้ยืมไม่ถือเป็นผู้ถูกทำละเมิดด้วย ผู้ยืมคงเป็นผู้ถูกทำละเมิดเพียงคนเดียว
- สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง สาระสำคัญอยู่ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ยืม และไม่ได้อยู่ที่ประเภทของทรัพย์ที่ยืมว่า เมื่อใช้สอยแล้วทรัพย์นั้นจะต้องไม่คงรูปหรือไม่ ดังนั้นอาจจะยืมใช้สิ้นเปลืองทรัพย์ที่ตามธรรมชาติแล้วคงรูปอยู่ แต่โดยลักษณะการใช้ไปหมดไปจากผู้ใช้ เช่น เงิน ก็ได้ หรือทรัพย์ที่ตามธรรมชาติแล้วคงรูปอยู่ ถ้ามีข้อกำหนดตามสัญญาว่า ผู้ให้ยืมได้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้ยืมแก่ผู้ยืมแล้วก็ได้ เช่น การยืมจาน ชาม ช้อน ดินสอ หรือยางลบ ในกรณีนี้ผู้ยืมก็ต้องคืนทรัพย์อีกชิ้นหนึ่งที่มีชนิดและปริมาณเดียวกันกับทรัพย์ที่ยืม
- สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองมีค่าตอบแทนได้ ในกรณีของการกู้ยืมเงิน ก็คือ ดอกเบี้ย ถือเป็นข้อแตกต่างจากสัญญายืมใช้คงรูป ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
- การส่งมอบทรัพย์ที่ยืม ก็ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับสัญญายืมใช้คงรูป
- สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ไม่ได้กำหนดหน้าที่ในการใช้สอยทรัพย์ที่ยืม หรือหน้าที่ในการเก็บรักษาทรัพย์ที่ยืม เพราะกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยืมได้โอนไปยังผู้ยืมแล้ว ผู้ยืมย่อมใช้สอยทรัพย์นั้น รวมทั้งการเก็บรักษาได้อย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามปกติ
- หลักการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยืมนี้ถูกนำไปใช้ในเรื่อง การฝากเงิน ด้วย
3. กู้ยืมเงิน
มาตราสำคัญ
653 , 654 , 655 , 656
สาระสำคัญ
- ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ หมายความว่า
- เป็นการกู้ยืมเงินตั้งแต่ หรือมากกว่า 2,000 บาท
- คำว่า ขึ้นไป หมายถึง จำนวนที่กล่าวถึงด้วย
- ในการบัญญัติกฎหมาย ถ้ามีการกล่าวถึงจำนวนตัวเลขในเนื้อความ ก็จะเขียนด้วยตัวอักษรทั้งหมด คงมีการเขียนด้วยตัวเลขเพียงที่เดียว คือ เลขมาตรา เท่านั้น
- คำว่า ถ้ามิได้มีหลักฐาน หมายถึง หลักฐานแห่งสัญญา ไม่ใช่แบบ
- คำว่า เป็นหนังสือ ภาษาในปัจจุบันหมายความว่า เป็นเอกสาร หรือลายลักษณ์อักษร เป็นแผ่น ๆ เอกสารหรือลายลักษณ์ที่รวบรวมเป็นรูปเล่ม ภาษาไทยแบบเดิม เรียกว่า สมุด แต่ภาษาไทยในปัจจุบันเรียกว่า หนังสือ
- คำว่า ลงลายมือชื่อผู้ยืม หมายถึง หากจะฟ้องผู้ยืม ต้องมีลายมือชื่อผู้ยืม ดังนั้นในความหมายกลับกัน ถ้าหากจะฟ้องผู้ให้ยืมก็จะต้องมีลายมือชื่อผู้ให้ยืมด้วย แต่ตัวบทไม่ได้บัญญัติเช่นนั้น หากตีความตรงตามตัวบท จะหมายความว่า เพียงมีลายมือชื่อผู้ยืม ก็สามารถฟ้องร้องเกี่ยวกับการกู้ยืมนั้นได้แล้ว คือ ฟ้องได้ทั้งผู้ให้ยืม และผู้ยืมด้วย
- คำว่า เป็นสำคัญ หมายถึง มีแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
- คำว่า ฟ้องร้องให้บังคับคดี หมายถึง การฟ้องคดี คำว่า บังคับคดีเป็นเพียงพลความ หรือคำสร้อยเท่านั้น
- คำว่า หาได้ไม่ หมายถึง ไม่ได้ เป็นการบัญญัติกฎหมายในเชิงปฏิเสธ หรือเชิงลบ ( negative ) มีลักษณะเป็นการบัญญัติกฎหมายกลับ คือ นำการห้ามให้กระทำ หรือข้อยกเว้นของกฎหมายขึ้นมาบัญญัติไว้ก่อนการให้กระทำ หรือหลักกฎหมาย เป็นลักษณะของการเขียนข้อความ แบบภาษาอังกฤษ ที่ดูความหมายของคำหลังมายังคำหน้า ไม่ใช่การเขียนแบบภาษาไทย ซึ่งดูความหมายของคำหน้าไปยังคำหลัง เช่น white car ดูความหมายของคำหลังก่อน คือ รถ แล้วจึงดูความหมายของคำหน้า คือ สีขาว เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะป.พ.พ. ร่างต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ แล้วแปลออกมาเป็นภาษาไทย จึงต้องแปลแบบตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ต่อมาแม้กฎหมายที่ร่างต้นฉบับเป็นภาษาไทย ก็นิยมบัญญัติกฎหมายในลักษณะนี้ ซึ่งตรงข้ามกับการใช้ภาษาตามปกติในชีวิตประจำวันที่มักจะใช้คำในเชิงยืนยัน หรือเชิงบวก ( positive )
- ตามมาตรา 653 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นไว้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว หมายความว่า
- คำว่า ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น หมายถึง การกู้ยืมนั้นจะมีจำนวนเงินมากกว่า หรือน้อยกว่า 2,000 บาท ก็ได้ แต่การกู้ยืมนั้นมีการทำหลักฐาน หรือทำสัญญาเป็นหนังสือ หรือเอกสาร หรือลายลักษณ์อักษรไว้ด้วย
- การนำเงินที่กู้ยืมมาคืน จะต้องทำตามที่กำหนดไว้ 3 อย่าง คือ
- ต้องทำหลักฐานของการรับเงินที่กู้ยืมคืน หรือใบรับเงินที่กู้ยืมคืน หรือใบเสร็จรับเงินที่กู้ยืมคืน เป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืม
- นำหลักฐานแห่งการกู้ยืมมาคืน แต่ในกรณีนี้มักไม่นิยมทำกัน เนื่องจากแม้นำหลักฐานแห่งการกู้ยืมมาคืนผู้ยืมแล้ว แต่ก็ยังมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมอยู่ ถ้าบังเอิญหลักฐานดังกล่าวกลับไปอยู่กับผู้ให้ยืม ผู้ให้ยืมก็สามารถนำหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นมาฟ้องผู้ยืมอีกได้
- แทงเพิกถอน คือ ขีดฆ่าในหลักฐานแห่งการกู้ยืม ว่า ใช้ไม่ได้ หรือไม่ใช้แล้ว หรือได้คืนเงินแล้ว ก็ถือเป็นการขีดฆ่าทั้งหมด สามารถเขียนได้ทั้งภาษาไทย และภาษาอื่น
- การฉีกหลักฐานแห่งการกู้ยืมทิ้ง โดยลักษณะไม่ใช่การแทงเพิกถอนลงในเอกสาร แต่เป็นการทำลายเอกสาร ก็มีผลทำให้ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่ผู้ให้ยืมจะนำมาฟ้องให้ผู้ยืมต้องชำระหนี้ได้อีก แต่ในกรณีนี้ผู้ให้ยืมยังสามารถฟ้องผู้ยืมได้ แต่เมื่อไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมมานำสืบ ศาลก็จะยกฟ้อง บางครั้งก็อาจมีการตีความว่า เป็นการแทงเพิกถอนเอกสารได้
- ตามมาตรา 653 วรรคสอง คงบัญญัติให้มีเฉพาะลายมือชื่อผู้ให้ยืมเท่านั้น ส่วนลายมือชื่อผู้ยืม ไม่ถือเป็นสาระสำคัญ แต่ผู้ยืมก็อาจลงลายมือชื่อในหลักฐานของการรับเงินที่กู้ยืมคืนไว้ก็ได้ เพื่อให้มีชื่อตนอยู่ในหลักฐานดังกล่าว เป็นประโยชน์ในการอ้างว่า ผู้ยืมก็เป็นพยานในการทำหลักฐานดังกล่าวด้วย
- ตามมาตรา 654 ที่บัญญัติว่า ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี หมายความว่า
- ในการคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงิน ผู้ให้กู้ยืมเงินสามารถคิดดอกเบี้ยได้เกินกว่า ร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 7
- การคิดดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี คงคิดได้เฉพาะในกรณีนี้กรณีเดียวเท่านั้น ถือเป็นกรณีพิเศษ ส่วนในกรณีตามสัญญาอื่น ๆ หรือมูลแห่งหนี้อื่น เช่น ละเมิดสามารถคิดดอกเบี้ยกันได้เพียงร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 7 เท่านั้น
- ตามมาตรา 655 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ หมายความว่า
- เป็นการคิดดอกเบี้ยแบบที่เรียกว่า ดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายห้ามคิดดอกเบี้ยในลักษณะนี้โดยเด็ดขาด
- เป็นการคิดดอกเบี้ยเหมือนกับกรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 224 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด ตามมาตรานี้เรียกว่า ดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย เป็นแม่บทของมาตรา 655 วรรคหนึ่งนี้
- แต่มาตรา 224 วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามคิดในระหว่างเวลาที่ผิดนัด คือ เพ็งเล็งดูเฉพาะเวลาที่ผิดนัดเท่านั้น ส่วนมาตรา 655 วรรคหนึ่ง ไม่ได้สนใจว่าจะคิดในเวลาที่ผิดนัดหรือไม่ แต่ห้ามคิดจากดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ดังนั้นแม้ว่าจะยังไม่ผิดนัดก็ห้ามคิดดอกเบี้ยแบบนี้เสมอ
- ดอกเบี้ยที่ค้างชำระนั้น ได้ค้างชำระมาเกินกว่า 1 ปี แล้ว
- ผู้ให้กู้ยืมกับผู้กู้ยืมจะได้ตกลงกันไว้ในสัญญามาก่อนแล้ว หรือจะตกลงกันในภายหลังก็ได้
- ให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงิน เรียกวิธีการนี้ว่า ดอกเบี้ยทบต้น
- ให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ คือ เมื่อนำดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมเข้าหรือทบเข้ากับต้นเงินที่ยังค้างชำระอยู่แล้ว ผู้ให้กู้ยืมสามารถคิดดอกเบี้ยตามสัญญาจากต้นเงินที่รวมดอกเบี้ยค้างชำระไว้แล้ว หรือต้นเงินใหม่นี้ได้ต่อไป
- ซึ่งการคิดดอกเบี้ยแบบดอกเบี้ยทบต้นนี้ แม้ผลที่ได้ คือ ดอกเบี้ยที่คิดได้จะไม่แตกต่างจากดอกเบี้ยที่เกิดจากการคิดดอกเบี้ยแบบดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยก็ตาม
- แต่ก็มีข้อแตกต่างกันในวิธีการ คือ การคิดดอกเบี้ยแบบดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยจะเป็นการคิดดอกเบี้ยในทันทีที่มีดอกเบี้ยเกิดขึ้น ส่วนการคิดดอกเบี้ยแบบดอกเบี้ยทบต้น แม้จะมีข้อสัญญาให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ก็ตาม แต่ผู้ให้กู้ยืมจะยังไม่สามารถคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ในทันทีที่มีดอกเบี้ยค้างชำระ ผู้ให้กู้ยืมต้องให้เวลาผู้ยืมนำเงินมาชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนเป็นเวลา 1 ปี เมื่อครบ 1 ปี แล้ว ผู้ยืมก็ยังไม่นำเงินมาชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ดังนี้ผู้ให้กู้ยืมจึงจะสามารถนำดอกเบี้ยที่ค้างชำระมาแล้ว 1 ปี มารวมเข้ากับต้นเงินที่ยังคงมีอยู่ และคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินใหม่นี้ได้ ซึ่งถ้าหากภายใน 1 ปี ผู้ยืมสามารถนำเงินมาชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระให้แก่ผู้ให้กู้ยืม ผู้ให้กู้ยืมก็ไม่สามารถคิดดอกเบี้ยทบต้นจากผู้ยืมได้
- การคิดดอกเบี้ยแบบดอกเบี้ยทบต้นนี้ จึงเป็นการให้เวลาแก่ผู้ยืมได้มีโอกาสนำเงินมาชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระแก่ผู้ให้กู้ยืมเสียก่อน แตกต่างจากการคิดดอกเบี้ยแบบดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ซึ่งไม่ได้ให้โอกาสผู้ยืมในการนำเงินมาชำระดอกเบี้ยที่ยังค้างชำระอยู่แต่อย่างใด แต่การให้เวลา 1 ปี นี้ก็มีข้อยกเว้นตามวรรคสอง ทำให้ในที่สุดผลของการคิดดอกเบี้ยทั้งสองแบบแทบไม่มีความแตกต่างกัน
- แต่จะคิดตอกเบี้ยทบต้นได้ ตามวรรคนี้บัญญัติให้ ต้องทำเป็นหนังสือ คือ ให้ทำเป็นสัญญา หรือเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้น คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องลงลายมือชื่อในสัญญา หรือในลายลักษณ์อักษรนั้นด้วย แต่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายอาจไม่ต้องลงลายมือชื่อกันจริง ๆ คงใช้ลายพิมพ์นิ้วมือ หรือตราประทับ ตามมาตรา 9 แทนได้ ทั้งสัญญา หรือลายลักษณ์อักษรดังกล่าว ก็ไม่จำเป็นต้องมีพยานด้วยก็ได้
- ตามมาตรา 655 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ส่วนประเพณีการค้าขายที่คำนวณดอกทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดี ในการค้าขายอย่างอื่นทำนองเช่นว่านี้ก็ดี หาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติซึ่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไม่ หมายความว่า
- คำว่า ประเพณีการค้าขาย ความหมายในปัจจุบันตรงกับคำว่า ประเภทของธุรกิจ
- คำว่า ที่คำนวณดอกทบต้นในบัญชีเดินสะพัด หมายถึง ธุรกิจนั้นต้องมีบัญชีเดินสะพัดเป็นปกติในการประกอบธุรกิจ ซึ่งในปัจจุบันคงมีเพียงสถาบันการเงิน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ( Non-Bank ) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น ที่มีการทำบัญชีเดินสะพัดสำหรับประกอบธุรกิจกับลูกค้าเป็นปกติ ธุรกิจประเภทอื่น ๆ แม้บางรายอาจมีการทำบัญชีเดินสะพัดสำหรับประกอบธุรกิจกับลูกค้าของตนด้วยก็ตาม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นประเพณี หรือเป็นปกติ หรือเป็นมาตรฐานของธุรกิจนั้น ๆ แต่อย่างใด
- ตามมาตรา 655 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า หาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติซึ่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไม่ หมายความว่า
- ในการคิดดอกเบี้ยแบบดอกเบี้ยทบต้น ไม่ต้องรอถึง 1 ปี ก็สามารถคิดดอกเบี้ยแบบทบต้นได้
- แต่ไม่ได้หมายความเลยไปถึงว่า ไม่ต้องมีข้อตกลงกันก็สามารถคิดดอกเบี้ยแบบดอกเบี้ยทบต้นได้ เพราะถ้าไม่มีข้อตกลงกัน คู่สัญญาก็จะไม่สามารถคิดดอกเบี้ยทบต้นกันได้ ต้องมีข้อตกลงกันมาก่อนว่าให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้เสียก่อน เพียงแค่ไม่ต้องรอถึง 1 ปี ตามที่บังคับไว้ในวรรคหนึ่งเท่านั้น
- และก็ไม่ได้มีความหมายว่า สามารถคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 224 วรรคสอง ได้
- ตามมาตรา 656 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ท่านให้คิดเป็นหนี้เงินค้างชำระโดยจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ หมายความว่า
- การกู้ยืมเงิน ไม่จำเป็นต้องรับทรัพย์ที่กู้ยืมกันเป็นเงินเสมอไป ผู้ยืมอาจขอรับเป็นสิ่งของอย่างอื่น เช่น ข้าว หรือน้ำตาล หรือเครื่องใช้อย่างอื่นแทนก็ได้ เพราะสิ่งของที่รับเป็นเพียงวิธีการส่งมอบทรัพย์ที่กู้ยืม หรือชำระหนี้ตามสัญญาเท่านั้น ซึ่งตามป.พ.พ. มาตรา 321 ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับก็สามารถใช้การชำระหนี้ หรือสิ่งของอย่างอื่นแทนได้
- ตามมาตรา 656 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ ก็มีความหมายอย่างเดียวกันกับวรรคหนึ่ง
4. ฝากทรัพย์
มาตราสำคัญ
659 , 660 , 666
สาระสำคัญ
- ตามมาตรา 659 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีบำเหน็จไซร้ ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง หมายความว่า
- การรับฝากทรัพย์ที่ไม่มีค่าตอบแทน ผู้รับฝากต้องใช้ความระมัดระวังในการเก็บรักษาทรัพย์สินที่รับฝากเหมือนกับที่ผู้รับฝากใช้ในการเก็บรักษาทรัพย์สินของตนเอง คือ เป็นระดับที่ไม่มีมาตรฐานชัดเจน คือ ระดับที่ใช้ในกิจการของผู้รับฝากเอง ซึ่งอาจจะสูงกว่าระดับวิญญูชน หรืออาจจะต่ำกว่าระดับวิญญูชนก็ได้ ถือเป็นระดับที่ไม่มีความแน่นอน
- ตามมาตรา 659 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์นั้น หมายความว่า
- การรับฝากทรัพย์ที่มีค่าตอบแทน ผู้รับฝากต้องใช้ความระมัดระวังในการเก็บรักษาทรัพย์สินที่รับฝากเท่ากับระดับ วิญญูชน คือ คนธรรมดา หรือสาธารณชนในสังคมโดยทั่วไป เป็นความระมัดระวังโดยเฉลี่ยของคนธรรมดา หรือสาธารณชนในสังคม ถือเป็นการใช้ความระมัดระวังในระดับปานกลาง
- ตามมาตรา 659 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น หมายความว่า
- การรับฝากทรัพย์ของผู้มีอาชีพ หรือมีวิชาชีพในการเก็บรักษาทรัพย์สิน เช่น ผู้เก็บรักษาเสื้อขนสัตว์ หรือเก็บรักษาภาพเขียน หรือเก็บรักษาวัตถุโบราณ วรรคนี้ไม่ได้บัญญัติเรื่องค่าตอบแทนไว้ ดังนั้นผู้มีอาชีพ หรือมีวิชาชีพในการเก็บรักษาทรัพย์สินจะรับฝากทรัพย์ไว้โดยมีค่าตอบแทน หรือไม่มีค่าตอบแทนก็ตาม ก็จะต้องใช้ฝีมือ หรือความระมัดระวังอย่างผู้มีอาชีพ หรือมีวิชาชีพในการเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้เสมอ
- คำว่า เท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ หมายถึง ตามมาตรฐานที่ผู้มีอาชีพ หรือมีวิชาชีพในการเก็บรักษาทรัพย์สินชนิดนั้นรายอื่น ๆ ได้ใช้ในการเก็บรักษาทรัพย์สินชนิดนั้น ถือเป็นการใช้ความระมัดระวังในระดับสูงสุด
- มาตรฐานความระมัดระวังทั้งสามระดับตามมาตรานี้ ถือเป็นระดับตามมาตรฐานของป.พ.พ. ที่นำไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ ด้วย
- ตามมาตรา 660 ที่บัญญัติว่า ถ้าผู้ฝากมิได้อนุญาต และผู้รับฝากเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นออกใช้สอยเอง หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไซร้ หมายความว่า
- เป็นการกำหนดหน้าที่ของผู้รับฝากทรัพย์ ไว้ 3 อย่าง แต่ไม่ได้บัญญัติว่าต้องมีค่าตอบแทนหรือไม่ ดังนั้นการรับฝากทรัพย์ทั้งที่มีค่าตอบแทน หรือไม่มีค่าตอบแทนก็จะทำตามที่กำหนดไว้ทั้งสามอย่างนี้ไม่ได้
- ตามมาตรา 660 ที่บัญญัติว่า ท่านว่าผู้รับฝากจะต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นสูญหายหรือบุบสลายอย่างหนึ่งอย่างใด ถึงแม้จะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง มีความหมายเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา 643
- ตามมาตรา 666 ที่บัญญัติว่า ถ้ามีดอกผลเกิดแต่ทรัพย์ซึ่งฝากนั้นเท่าใด หมายความว่า
- ดอกผลที่เกิดขึ้นนั้น รวมทั้งดอกผลธรรมดา และดอกผลนิตินัยที่เกิดขึ้นจากทรัพย์สินที่ฝากนั้นในระหว่างที่รับฝากทรัพย์ด้วย ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง