การใช้กฎหมาย

         มีความหมาย 2 ประการ คือ

  1. การออกกฎหมายมาใช้  หมายถึง การบัญญัติ หรือการตรากฎหมายต่าง ๆ
  2. การใช้กฎหมายกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น  หมายถึง
    • การปรับบทกฎหมาย หรือการนำกฎหมายแต่ล่ะมาตรา มาใช้บังคับหรือวินิจฉัยกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หรือ
    • การเทียบเคียง (Analogy) บทบัญญัติในมาตราต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เนื่องจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีบทบัญญัติโดยตรง

การตีความกฎหมาย  คือ  การแปล หรือค้นหาความหมายของถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแต่ล่ะมาตรา

         มีการตีความ 2 ประเภท คือ

  1. การตีความกฎหมายทั่วไป  เช่น  กฎหมายแพ่ง  กฎหมายที่ดิน 
    • ใช้การตีความตามตัวอักษรก่อน  แต่หากยังไม่สามารถค้นหาความ หมายที่น่าจะ ถูกต้องได้  ก็จะใช้
    • การตีความตามเจตนารมณ์  ซึ่งดูจากความมุ่งหมายของกฎหมายแต่ล่ะมาตราที่บัญญัติขึ้น หรือดูผลจากการตีความว่า สามารถใช้บังคับอย่างเป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่ายได้ หรือไม่ รวมทั้งจะสามารถใช้กับคดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างเป็นธรรมด้วย หรือไม่  หรือหากตีความแล้ว มีทั้งความหมายที่ใช้บังคับได้ และความหมายที่ใช้บังคับไม่ได้ต้องเลือกความหมายที่ใช้บังคับได้
  2. การตีความกฎหมายพิเศษ  เช่น กฎหมายอาญา  กฎหมายยาเสพติด  กฎหมายป้องกันการค้ามนุษย์   ใช้
    • การตีความตามตัวอักษรก่อน แต่เมื่อตีความตามตัวอักษรแล้ว ผลที่เกิดขึ้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในขณะตีความ หรือทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงกฎหมาย หรือเกิดความเสียหายขึ้นได้ ก็จะใช้
    • การตีความตามเจตนารมณ์  และ
    • การตีความทั้งสองแบบ ต้องเป็นไปอย่างเคร่งครัด หมายความว่า การตีความตามตัวอักษรสามารถใช้การตีความโดยขยายความได้ แต่ไม่สามารถใช้การตีความโดยการเทียบเคียงได้  และการตีความตามเจตนารมณ์  ต้องไม่กว้างเกินไปกว่าความหมายตามปกติของถ้อยคำมากนัก 

         วิธีการตีความกฎหมาย    

  1. กรณีที่เหมือนกัน เพราะมีผลเหมือนกัน ต้องตีความเหมือนกัน
  2. กรณีที่ต่างกัน เพราะมีผลต่างกัน ต้องตีความต่างกัน
  3. กรณีที่ดูคล้ายกัน แต่ความจริงต่างกัน เพราะมีผลต่างกัน ต้องตีความต่างกัน
  4. กรณีที่ดูต่างกัน แต่ความจริงเหมือนกัน เพราะมีผลเหมือนกัน ต้องตีความเหมือนกัน

         ตัวอย่าง

  1. รถยนต์เก๋งกับรถยนต์กระบะ  ต้องตีความว่า  เป็นยานพาหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลเหมือนกัน
  2. เรือพาย กับรถยนต์เก๋ง  ต้องตีความว่า  เรือพายไม่เป็นยานพาหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล  รถยนต์เก๋งเป็นยานพาหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล
  3. รถจักรยาน กับรถจักรยานยนต์  ต้องตีความว่า  รถจักรยานไม่เป็นยานพาหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล  รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล
  4. เรือยนต์ กับรถยนต์  ต้องตีความว่า  เป็นยานพาหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลเหมือนกัน
ณ ห้องว่างกลางหมู่ดาว กฎหมาย