1. ตัวแทน

มาตราสำคัญ

798 , 799 , 801 , 806 , 810 , 812 , 813 , 814 , 816 , 820 , 821 , 822 , 823 , 824 , 825 , 828

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา 798 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย หมายความว่า
    • การทำเป็นหนังสือในกรณีนี้ ไม่ใช่แบบของสัญญาตัวแทน เพราะไม่ได้บัญญัติว่า ถ้าไม่ทำจะเป็นโมฆะ ดังนั้นสัญญาตัวแทนจึงเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบ
    • แต่ที่กำหนดว่า ถ้านิติกรรมหรือสัญญาที่จะตั้งตัวแทนไปทำนั้น นิติกรรมหรือสัญญานั้น ต้องทำเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย ก็เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ในกรณีที่นิติกรรมหรือสัญญาที่จะตั้งตัวแทนไปทำนั้น นิติกรรมหรือสัญญานั้น ต้องมีการทำตามแบบของนิติกรรม ไม่ว่าจะทำเป็นหนังสือ หรือทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่ก็ตาม แต่ตัวการไม่ต้องการจะลงลายมือชื่อในแบบของนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าว ตัวการก็สามารถจะใช้วิธีตั้งตัวแทนไปลงลายมือชื่อในนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าวแทนตนได้ เพราะสัญญาตัวแทนเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบแต่อย่างใด จึงอาจทำด้วยวาจาก็ได้ ในกรณีนี้ตัวการก็จะไม่ต้องไปลงลายมือชื่อในการทำนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าวแต่อย่างใด สามารถที่จะตั้งตัวแทนไปลงลายมือชื่อในนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าวแทนตนเองได้ บทบัญญัติที่กำหนดให้คู่สัญญาต้องลงลายมือชื่อในแบบของนิติกรรมหรือสัญญาแต่ละอย่างก็จะไร้ความหมาย
    • ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหลีกเลี่ยงกฎหมายในกรณีดังกล่าว บทบัญญัติตามวรรคนี้จึงกำหนดให้การตั้งตัวแทนในกรณีที่นิติกรรมหรือสัญญาที่ตั้งตัวแทนไปทำนั้นกำหนดให้ต้องมีการทำเป็นหนังสือตามแบบของนิติกรรม การตั้งตัวแทนไปทำนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าวก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย เพื่อที่ไม่ว่าอย่างไรตัวการก็จะต้องลงลายมือชื่อด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่อาจไม่ต้องลงลายมือชื่อในหนังสือของนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าวกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ก็ต้องมาลงชื่อในหนังสือแต่งตั้งตัวแทนของตนแทนอยู่ดีนั่นเอง
    • ในความเป็นจริง บทบัญญัติวรรคนี้ควรจะกำหนดให้ เมื่อตัวแทนจะไปทำนิติกรรมหรือสัญญากับบุคคลภายนอก ตัวแทนจะต้องแสดงหนังสือหรือหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรานี้แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งให้ทราบก่อนทำนิติกรรมหรือสัญญาด้วย หรือหากตัวการจะฟ้องร้องบังคับเอากับบุคคลภายนอกตามนิติกรรมหรือสัญญาที่ตั้งตัวแทนไปทำนั้น ตัวการจะต้องนำหนังสือตั้งตัวแทนตามวรรคนี้มานำสืบด้วย จึงจะสามารถฟ้องร้องบังคับตามนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าวได้ แต่ในวรรคนี้ หรือมาตราอื่นก็ไม่มีบทบัญญัติเช่นนั้นรับรองไว้
    • ดังนั้น แม้การตั้งตัวแทนไปทำนิติกรรมหรือสัญญาที่กำหนดให้ต้องมีการทำเป็นหนังสือตามแบบของนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าว แต่การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าวนั้นไม่มีการทำเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในวรรคนี้ ก็ไม่มีผลอย่างใดเกิดขึ้น วรรคนี้จึงไม่มีผลใช้บังคับได้ตามความเป็นจริง
    • แต่ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะขอดูหนังสือ หรือหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรานี้ก่อนทำสัญญากับตัวแทน คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งก็น่าจะทำได้
  • ตามมาตรา 798 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย หมายความเช่นเดียวกับในวรรคหนึ่ง
  • ตามมาตรา 799 ที่บัญญัติว่า ตัวการคนใดใช้บุคคลไร้ความสามารถเป็นตัวแทน หมายความว่า
    • ตัวแทนตามมาตรานี้ เรียกว่า ตัวแทนไร้ความสามารถ
    • คำว่า บุคคลไร้ความสามารถ ไม่ได้หมายถึง คนไร้ความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงคนที่หย่อนความสามารถทั้งหมดด้วย เช่น ผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริต แต่ไม่หมายถึง คนสาบสูญที่กลับมาแล้วแต่ศาลยังไม่สั่งเพิกถอนการสาบสูญด้วย
    • แม้คนที่หย่อนความสามารถจะไม่สามารถทำนิติกรรมเองได้ หรือทำได้แต่ไม่มีผลสมบูรณ์ก็ตาม แต่ตัวการสามารถตั้งบุคคลที่หย่อนความสามารถเป็นตัวแทนของตนเพื่อไปทำนิติกรรมหรือสัญญาแทนตนได้ และนิติกรรมหรือสัญญาที่ตัวแทนหย่อนความสามารถไปทำแทนก็มีผลสมบูรณ์ เพราะตอนท้ายของมาตรานี้ บัญญัติให้ ผู้ที่ต้องผูกพันตามนิติกรรมหรือสัญญาดังกล่าว คือ ตัวการ ไม่ใช่ตัวแทน
    • แต่การตั้งตัวแทนก็เป็นสัญญาอย่างหนึ่ง ดังนั้นถ้าตัวแทนเป็นคนหย่อนความสามารถ สัญญาตั้งตัวแทนนี้ก็จะไม่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไปด้วย แต่นิติกรรมหรือสัญญาที่คนหย่อนความสามารถทำ กฎหมายมักกำหนดให้เป็นแค่โมฆียะ ดังนั้นจึงยังถือว่ามีสัญญาตั้งตัวแทนอยู่ แต่ถ้าตัวแทนไม่มีสติสัมปชัญญะเลย ก็คงไม่สามารถทำสัญญาตั้งตัวแทน หรือคงไม่สามารถตั้งเป็นตัวแทนให้ไปทำนิติกรรมหรือสัญญาแทนตัวการได้อยู่ดี
  • ตามมาตรา 806 ที่บัญญัติว่า ท่านว่าตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นไม่ หมายความว่า
    • ตามมาตรานี้ เรียกว่า ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ถือเป็นตัวแทนประเภทหนึ่ง
    • คำว่า บุคคลภายนอก หมายถึง คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่ตัวแทนซึ่งตัวการไม่เปิดเผยชื่อตามมาตรานี้ไปทำสัญญาด้วย
    • คำว่า เสื่อมเสียถึงสิทธิ หมายถึง สิทธิตามสัญญาที่ตัวแทนทำกับบุคคลภายนอกก่อนที่ตัวการตามมาตรานี้จะแสดงตน และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมีหรือได้สิทธิตามสัญญาที่จะเรียกร้องให้ตัวแทนปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวแล้ว ดังนี้ตัวการไม่เปิดเผยชื่อดังกล่าวจะเข้ามาปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับหน้าที่ตามสัญญาดังกล่าว หรือโอนวัตถุตามสัญญาดังกล่าวไปเพื่อไม่ให้บุคคลภายนอกสามารถจะบังคับเอาวัตถุดังกล่าวตามสัญญานั้นไม่ได้ ถือว่าตัวการตามมาตรานี้ทำให้บุคคลภายนอกเสื่อมเสียสิทธิอันมีต่อตัวแทนแล้ว ดังนั้นตัวการตามมาตรานี้ทำได้เพียงต้องเข้ามาผูกพันตามสัญญาแทนตัวแทนเท่านั้น
    • คำว่า ขวนขวายได้มา หมายถึง บุคคลภายนอกเกิดมีสิทธิตามสัญญาขึ้นแล้ว หรือสัญญาระหว่างตัวแทนกับบุคคลภายนอกเกิดขึ้นแล้วโดยสมบูรณ์
    • คำว่า ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทน หมายถึง บุคคลภายนอกยังเข้าใจว่าตัวแทนเป็นคู่สัญญาของตน ไม่ใช่ตัวการตามมาตรานี้เป็นคู่สัญญาของตน
    • ตัวแทนตัวการตามมาตรานี้ ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 798 เพราะขณะที่ตัวแทนไปทำสัญญากับบุคคลภายนอก จะไม่ปรากฏชื่อของตัวการในการทำสัญญาเลย บุคคลภายนอกจะเข้าใจว่าตัวแทนทำสัญญาเพื่อตนเองเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีการเรียกหรือนำหนังสือ หรือหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 798 ไปแสดงแก่บุคคลภายนอกได้ แต่ตามตัวบทก็ไม่ได้ห้าม หากตัวแทนกับตัวการจะทำหนังสือ หรือหลักฐานเป็นหนังสือต่อกันไว้ตามมาตรา 798 แค่ไม่ต้องนำไปแสดงแก่บุคคลภายนอกเท่านั้น
  • ตามมาตรา 810 ที่บัญญัติว่า เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น หมายความว่า
    • คำว่า เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดา หมายถึง เงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งหมด
    • คำว่า เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น หมายถึง ที่ได้รับมาจากการที่ตัวการตั้งตนเองไปเป็นตัวแทนทำนิติกรรมหรือสัญญากับบุคคลภายนอกแทนตัวการ แม้เงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใด ๆ นั้นอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับนิติกรรมหรือสัญญาที่ตัวแทนไปทำ แต่เป็นเรื่องที่ตัวแทนเสนอขาย หรือเสนอขอทำนิติกรรมกับบุคคลภายนอกในนามส่วนตัว หรือเป็นธุรกิจของตัวแทนเอง ก็อยู่ในความหมายนี้ด้วย เพราะสัญญาตัวแทนถือความสุจริตระหว่างตัวการและตัวแทนเป็นสำคัญ
    • คำว่า จงสิ้น หมายถึง ทั้งหมดทุกอย่าง ถ้าตัวแทนสงสัยว่าเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใด ๆ ตัวแทนจะต้องส่งให้แก่ตัวการหรือไม่ ก็อยู่ในความหมายนี้ คือ ต้องส่งให้แก่ตัวการทั้งหมด
    • ถ้าเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ตัวแทนได้มานั้น เป็นทรัพย์สิน หรือธุรกิจส่วนตัวของตัวแทนที่เสนอขาย หรือเสนอทำต่อบุคคลภายนอก ตัวแทนต้องส่งเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้มานั้น ให้แก่ตัวการเสียก่อน แล้วต่อมาตัวการจะคืนให้แก่ตัวแทนหรือไม่ ย่อมถือเป็นสิทธิของตัวการที่จะทำได้
  • ตามมาตรา 812 ที่บัญญัติว่า ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทำการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจก็ดี ท่านว่าตัวแทนจะต้องรับผิด หมายความว่า
    • ตามมาตรานี้ได้กำหนดให้ตัวแทนจะต้องรับผิดอยู่ 3 ประการ คือ ความประมาทเลินเล่อ หรือไม่ทำการ หรือทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจ นอกเหนือจาก 3 ประการ นี้แล้วตัวแทนไม่ต้องรับผิดในการทำหน้าที่ตัวแทนตามสัญญาต่อตัวการอีก จึงเป็นการง่ายที่จะดูว่า ในลักษณะสัญญาตัวแทนนี้ ตัวแทนต้องรับผิดต่อตัวการในเรื่องใดบ้าง การกำหนดความรับผิดในลักษณะอย่างนี้ ในเรื่องเอกเทศสัญญามีบัญญัติไว้ในหลายลักษณะด้วยกัน
    • ในเรื่องเอกเทศสัญญา นอกจากเหนือจากสิทธิ หน้าที่ แล้วในบางสัญญาก็มีการกำหนดความรับผิดของคู่สัญญาไว้ด้วย ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
  • ตามมาตรา 813 ที่บัญญัติว่า ตัวแทนผู้ใดตั้งตัวแทนช่วงตามที่ตัวการระบุตัวให้ตั้ง ท่านว่าตัวแทนผู้นั้นจะต้องรับผิดแต่เพียงในกรณีที่ตนได้รู้ว่าตัวแทนช่วงนั้นเป็นผู้ที่ไม่เหมาะแก่การ หรือเป็นผู้ที่ไม่สมควรไว้วางใจแล้วและมิได้แจ้งความนั้นให้ตัวการทราบหรือมิได้เลิกถอนตัวแทนช่วงนั้นเสียเอง หมายความว่า
    • ตัวแทนตามมาตรานี้ เรียกว่า ตัวแทนช่วง
    • ตามมาตรานี้ได้กำหนดให้ตัวแทนจะต้องรับผิดอยู่ 3 ประการ คือ ตัวแทนได้รู้ว่าตัวแทนช่วงเป็นผู้ที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นตัวแทน หรือเป็นผู้ที่ไม่น่าไว้วางใจและมิได้บอกเรื่องดังกล่าวนั้นให้ตัวการทราบ หรือมิได้บอกเลิกตัวแทนช่วงนั้นเสียเองนอกเหนือจากความรับผิด 3 ประการ นี้แล้วตัวแทนไม่ต้องรับผิดต่อตัวการอีก ในความหมายเดียวกับมาตรา 812
  • ตามมาตรา 814 ที่บัญญัติว่า ตัวแทนช่วงย่อมรับผิดโดยตรงต่อตัวการฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น หมายความว่า
    • คำว่า ย่อมรับผิดโดยตรงต่อตัวการ หมายถึง ตัวแทนช่วงเป็นตัวแทนประเภทหนึ่งเหมือนกัน เมื่อตัวแทนเดิมได้ตั้งตัวแทนช่วงตามที่ตัวการกำหนดแล้ว ตัวแทนช่วงก็จะเข้ามารับผิดชอบทำหน้าที่แทนตัวแทนเดิมทั้งหมด ตัวแทนเดิมก็ถือว่าหมดหน้าที่ในฐานะตัวแทนไปโดยปริยาย เมื่อไม่ได้ทำหน้าที่ตัวแทนแล้ว ตัวแทนเดิมจึงไม่ต้องรับผิดต่อตัวการอีก เพราะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ คงมีความรับผิดต่อตัวการเพียงตามมาตรา 813 เท่านั้น ดังนั้นมาตรานี้จึงกำหนดให้ตัวแทนช่วงต้องรับผิดต่อตัวการเสมือนตนเองเป็นตัวแทนมาตั้งแต่ต้นเพียงคนเดียว
    • คำว่า ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น หมายถึง ในทางกลับกัน ตัวการก็ต้องรับผิดต่อตัวแทนช่วง ไม่ต้องรับผิดต่อตัวแทนเดิมอีก
  • ตามมาตรา 816 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป หมายความว่า ตามมาตรานี้เป็นการกำหนดหน้าที่ของตัวการที่ต้องรับผิดต่อตัวแทนเพียงมาตราเดียว ในเรื่องเงินทดรองจ่าย หรือเงินค่าใช้จ่ายที่ตัวแทนออกไปในการทำหน้าที่ตัวแทนให้แก่ตัวการ นอกเหนือไปจากข้อตกลงให้บำเหน็จหรือค่าตอบแทนแล้ว มาตรานี้ยังกำหนดให้ตัวการต้องจ่าย ดอกเบี้ยตามมาตรา 7 ในเงินดังกล่าวให้แก่ตัวแทนด้วย
  • ตามมาตรา 816 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ตัวแทนต้องรับภาระเป็นหนี้ขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใด หมายความว่า
    • คำว่า รับภาระเป็นหนี้ หมายถึง การทำนิติกรรมหรือสัญญาที่ตัวแทนอาจต้องทำกับบุคคลภายนอกเพื่อให้การดำเนินการให้แก่ตัวการลุล่วงไปได้ เช่น ตั้งตัวแทนให้ไปออกโฉนดที่ดิน ตัวแทนต้องไปทำสัญญาจ้างช่างมารังวัดที่ดินด้วย สัญญาจ้างช่างมารังวัดที่ดิน จึงเป็นหนี้ที่ตัวแทนต้องทำขึ้น และตัวแทนอาจต้องรับผิดต่อช่างรังวัด คือ ภาระของตัวแทน เป็นเรื่องหน้าที่ของตัวการที่ต้องรับผิดต่อตัวแทนเช่นเดียวกับตามวรรคหนึ่ง
  • ตามมาตรา 820 ที่บัญญัติว่า ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหมายอันตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทน หมายความว่า
    • คำว่า ย่อมมีความผูกพัน หมายถึง ตัวการต้องรับผิดตามสัญญาที่ตั้งตัวแทนไปทำอย่างเป็นผู้ทำสัญญานั้นเอง ตัวแทนไม่ต้องรับผิดตามสัญญาซึ่งตนเองเป็นผู้ไปทำนั้น ในทางกลับกัน ถ้าเรื่องใดที่ตัวการสามารถปฏิเสธไม่ต้องผูกพันได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตราอื่น ดังนี้ตัวแทนต้องรับผิดต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งตามปกติ เพราะตัวแทนเป็นผู้เข้าทำสัญญานั้นกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเอง
    • คำว่า ต่อบุคคลภายนอก หมายถึง คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ในสัญญาที่ตั้งตัวแทนไปทำ
    • คำว่า กิจการทั้งหมาย หมายถึง สัญญาที่ตั้งตัวแทนไปทำ สัญญาตัวแทนเป็นเรื่องที่ตัวการตั้งตัวแทนไปทำนิติกรรมหรือสัญญากับบุคคลภายนอกแทนตนเองเท่านั้น การกระทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่นิติกรรมหรือสัญญาไม่สามารถทำตามสัญญาตัวแทนไปดำเนินการตามลักษณะที่ 15 นี้ได้ แต่ถือเป็นตัวแทนตามความหมายที่ประชาชนเข้าใจกันตามธรรมดาเท่านั้น
    • คำว่า ได้ทำไปภายในขอบอำนาจ คือ ตัวการจะรับผิดต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรานี้ได้เฉพาะเมื่อตัวแทนทำการตามอำนาจที่ได้รับแต่งตั้งไปจากตัวการเท่านั้น
  • ตามมาตรา 821 ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน
    • ตัวแทนตามมาตรานี้ เรียกว่า ตัวแทนเชิด
    • คำว่า บุคคลผู้ใด หมายถึง ผู้เสมือนเป็นตัวการ แต่มาตรานี้ไม่ใช้คำว่า ตัวการ เพราะไม่มีการแสดงความประสงค์หรือการเสนอขอทำสัญญาตัวแทนต่อกันจริง ๆ บุคคลตามมาตรานี้จึงมีฐานะเสมือนเป็นตัวการ ไม่ใช่ตัวการจริง ๆ แต่ในทางกฎหมายความรับผิดของผู้เสมือนเป็นตัวการ ก็มีผลเท่ากับเป็นตัวการจริง ๆ
    • คำว่า เชิด หมายถึง กิริยา หรือการกระทำ หรือการแสดงออก หรือการทำให้รู้ แม้ว่าการทำนิติกรรมหรือสัญญาอาจทำโดยกิริยาหรือการกระทำก็ได้ แต่ในกรณีนี้การเชิดก็ไม่ถือเป็นการแสดงความประสงค์หรือการเสนอขอทำสัญญาตัวแทนแต่อย่างใด เพราะโดยลักษณะเป็นเพียงการกระทำหรือการแสดงออกฝ่ายเดียวของผู้เสมือนเป็นตัวการเท่านั้น โดยในขณะนั้นผู้ถูกเชิดหรือผู้เสมือนเป็นตัวแทนยังอาจไม่ทราบการเชิดนั้นก็ได้
    • คำว่า ออกแสดงเป็นตัวแทนของตน หมายถึง ทำให้บุคคลอื่น ๆ รับรู้ว่า ผู้เสมือนเป็นตัวการนั้นมีความประสงค์จะให้บุคคลอีกคนหนึ่งหรือผู้เสมือนเป็นตัวแทนเป็นตัวแทนของตน แม้ว่าในขณะนั้นบุคคลอีกคนหนึ่ง หรือผู้ถูกเชิด หรือผู้เสมือนเป็นตัวแทนนั้นจะยังไม่รู้ตัวว่า มีบุคคลคนหนึ่งหรือผู้เสมือนเป็นตัวการเชิดตัวเขา หรือผู้ถูกเชิด หรือผู้เสมือนเป็นตัวแทนให้เป็นตัวแทนของผู้เสมือนเป็นตัวการนั้นก็ตาม
    • คำว่า รู้แล้วยอมให้ หมายถึง รู้ข้อเท็จจริงว่า มีบุคคลอีกคนหนึ่ง หรือผู้เสมือนเป็นตัวแทน เชิดหรือแสดงตัวของเขาออกมาให้บุคคลอื่น ๆ รู้ว่าผู้เสมือนเป็นตัวแทนนั้นเป็นตัวแทนของตนเอง หรือผู้เสมือนเป็นตัวการแล้ว ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้รับรองการกระทำนั้น หรืออาจจะรับรองก็ได้ กรณีนี้ถึงแม้ผู้เสมือนเป็นตัวการจะรับรองการเชิดตัวเองของผู้เสมือนเป็นตัวแทนนั้นก็ตาม แต่การรับรองนั้นก็ไม่ถือเป็นการสนองตอบการเชิดนั้นแต่อย่างใด เพราะการเชิดเป็นการกระทำฝ่ายเดียวของผู้เสมือนเป็นตัวแทน จึงไม่ถือเป็นการเสนอขอทำสัญญาตัวแทน
    • คำว่า บุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริต หมายถึง ต่อมาผู้ที่ถูกเชิด หรือผู้ที่เชิดตัวเอง หรือผู้เสมือนเป็นตัวแทนนั้นได้ไปทำนิติกกรรมหรือสัญญากับบุคคลภายนอกโดยอ้างว่า ทำการแทนผู้ที่เสมือนเป็นตัวการ ผู้เสมือนเป็นตัวการก็ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่เป็นคู่สัญญานั้น
    • คำว่า เสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน หมายถึง ผู้เสมือนเป็นตัวการนั้นต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่เป็นผู้เข้าทำนิติกรรมหรือสัญญาด้วย เหมือนผู้ที่ถูกเชิด หรือผู้ที่เชิดตัวเอง หรือผู้เสมือนเป็นตัวแทนนั้นเป็นตัวแทนของตนเองจริง ๆ
    • ตามมาตรานี้ ผู้เสมือนเป็นตัวการ ไม่ใช่ตัวการจริง ๆ และผู้เสมือนเป็นตัวแทนก็ไม่ใช่ตัวแทนจริง ๆ คงมีเพียงผลตามกฎหมายให้ต้องผูกพัน หรือต้องรับผิดเท่ากับเป็นตัวการ หรือตัวแทนกันจริง ๆ เท่านั้น ข้อที่แตกต่างกับการเป็นตัวการ และตัวแทนกันจริง ๆ ก็คือ ตัวแทนเชิดตามมาตรานี้ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 798 และผู้เสมือนเป็นตัวการ กับผู้เสมือนเป็นตัวแทน ไม่มีสิทธิหน้าที่ตามสัญญาตัวแทนต่อกัน ดังนั้นจึงไม่อยู่ในบังคับของหมวด 2 หมวด 3 ของลักษณะตัวแทนนี้ และหากจะมีการฟ้องร้องเรียกเงิน หรือทรัพย์คืนจากกันก็อาจจะต้องนำบทบัญญัติเรื่องลาภมิควรได้มาบังคับใช้
    • ตามมาตรานี้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งต้องหลงเชื่อด้วยว่า ผู้เสมือนเป็นตัวแทนทำการแทนผู้เสมือนเป็นตัวการ แต่ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังเข้าใจว่าผู้เสมือนเป็นตัวแทนทำในกิจการของตนเอง ไม่ได้ทำการแทนผู้เสมือนเป็นตัวการ ผู้เสมือนเป็นตัวแทนย่อมไม่ถือเป็นตัวแทนเชิด ไม่อยู่ในบังคับมาตรานี้
    • มาตรานี้บัญญัติให้ผู้เสมือนเป็นตัวการต้องรับผิดต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น คือ คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งสามารถฟ้องผู้เสมือนเป็นตัวการได้ แต่ไม่ได้บัญญัติให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งต้องรับผิดต่อผู้เสมือนเป็นตัวการด้วย ดังนั้นผู้เสมือนเป็นตัวการจึงฟ้องคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งให้ต้องรับผิดต่อตนเองไม่ได้ ในกรณีนี้ผู้ที่จะฟ้องได้ ก็คือ ผู้เสมือนเป็นตัวแทนซึ่งเป็นผู้ทำสัญญากับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งนั่นเอง
    • ตัวแทนเชิดมาตรานี้ ใช้บังคับไปถึงเรื่องที่ไม่ใช่การทำนิติกรรมหรือสัญญา แต่เป็นการทำละเมิดด้วย ตามมาตรา 427
  • ตามมาตรา 822 ที่บัญญัติว่า ถ้าตัวแทนทำการอันใดเกินอำนาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทนไซร้ ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับ แล้วแต่กรณี
    • ตัวแทนตามมาตรานี้ เรียกว่า ตัวแทนทำเกินขอบอำนาจ
    • คำว่า ตัวแทน หมายถึง ตัวแทนจริง ๆ ที่ได้รับแต่งตั้งจากตัวการให้ไปทำนิติกรรมหรือสัญญากับบุคคลภายนอก
    • คำว่า ทำการอันใด หมายถึง ตัวแทนนั้นไปทำนิติกรรมหรือสัญญากับบุคคลภายนอก
    • คำว่า เกินอำนาจตัวแทน หมายถึง บางส่วนเกินขอบอำนาจที่ได้รับมอบจากตัวการ แต่บางส่วนยังอยู่ในอำนาจที่ได้รับมอบจากตัวการ เช่น ผู้จัดการสาขาได้รับมอบอำนาจจากธนาคารอนุมัติให้ลูกค้ากู้เบิกเงินเกินบัญชีได้ไม่เกิน 100,000 บาท แต่ผู้จัดการสาขากลับอนุมัติให้ลูกค้ากู้เบิกเงินเกินบัญชีไป 150,000 บาท ในส่วนวงเงิน 100,000 บาท ถือว่ายังอยู่ในอำนาจของผู้จัดการสาขา แต่ส่วนอีก 50,000 บาท ที่เกินไปนั้น ถือว่าเกินขอบอำนาจของผู้จัดการสาขา
    • คำว่า แต่ทางปฏิบัติของตัวการ หมายถึง มีการกระทำที่ตัวการเคยกระทำมา หรือเคยมอบอำนาจให้ตัวแทนไปกระทำการแทนตนในกรณีเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง
    • คำว่า ทำให้บุคคลภายนอก หมายถึง ทำให้บุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่งที่ตัวแทนไปทำนิติกรรมหรือสัญญาด้วย
    • คำว่า มีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่า หมายถึง ทำให้บุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่งหลงเชื่อว่า หรือเข้าใจผิดว่า
    • คำว่า การอันนั้น หมายถึง นิติกรรมหรือสัญญาที่ตัวแทนไปทำกับบุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่ง
    • คำว่า อยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน หมายถึง เป็นไปตามอำนาจของตัวแทนที่ได้รับมาจากตัวการโดยชอบ
    • คำว่า ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับ หมายถึง ให้ใช้บังคับตามมาตรา 820 ซึ่งเป็นหลักในเรื่องความรับผิดของตัวการต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่มาตรา 821 ซึ่งเป็นเรื่องตัวแทนเชิด
    • คำว่า แล้วแต่กรณี หมายถึง การที่ตัวแทนทำนอกขอบอำนาจ จะทำให้การทำนิติกรรมหรือสัญญาของตัวแทนมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่ยังอยู่ในขอบอำนาจ และส่วนที่เกินขอบอำนาจ ดังนั้นส่วนที่ยังอยู่ในขอบอำนาจ ตัวการก็ต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 820 ส่วนที่เกินขอบอำนาจ ตัวการจะผูกพันต่อบุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ ต้องพิจารณาตามมาตรานี้ประกอบด้วย โดยถ้ามีทางปฏิบัติของตัวการที่ทำให้บุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่งมีสาเหตุอันสมควรทำให้เชื่อว่า การทำนิติกรรมหรือสัญญาของตัวแทนนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทนแล้ว ตัวการจึงจะต้องรับผิดตามมาตรา 820 แต่ถ้าไม่มีทางปฏิบัติของตัวการที่ทำให้บุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่งมีสาเหตุอันสมควรทำให้เชื่อดังกล่าว ตัวการก็ไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นในส่วนนั้นตัวแทนต้องเป็นผู้รับผิดตามนิติกรรมหรือสัญญานั้นต่อบุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่งเอง ในฐานะที่ตัวแทนเป็นผู้ทำนิติกรรมหรือสัญญานั้นกับบุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่งเอง
    • แต่ถ้าการทำนิติกรรมหรือสัญญาของตัวแทนนั้น สามารถแยกออกจากกันได้ ส่วนที่อยู่นอกเหนืออำนาจที่ตัวแทนได้รับมอบอำนาจมาจากตัวการ ส่วนนั้นเรียกว่า ตัวแทนทำโดยปราศจากอำนาจ ไม่อยู่ในบังคับมาตรานี้ แต่อยู่ในบังคับมาตรา 823
  • ตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการ เว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น หมายความว่า
    • ตัวแทนตามมาตรานี้ เรียกว่า ตัวแทนทำโดยปราศจากอำนาจ
    • คำว่า ตัวแทน หมายถึง ตัวแทนจริง ๆ ที่ได้รับแต่งตั้งจากตัวการให้ไปทำนิติกรรมหรือสัญญากับบุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่ง
    • คำว่า กระทำการอันใดอันหนึ่ง หมายถึง การทำนิติกรรมหรือสัญญากับบุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่ง
    • คำว่า โดยปราศจากอำนาจก็ดี หมายถึง โดยไม่ได้รับมอบอำนาจจากตัวการ โดยตัวแทนได้รับแต่งตั้งจากตัวการให้ไปทำนิติกรรมหรือสัญญาเรื่องหนึ่ง แต่กลับนำใบมอบอำนาจนั้นไปทำนิติกรรมหรือสัญญาอีกเรื่องหนึ่ง เช่น ตัวการมอบอำนาจให้ตัวแทนไปโอนที่ดินแปลงหนึ่ง แต่ตัวแทนกลับนำใบมอบอำนาจไปโอนที่ดินอีกแปลงหนึ่ง ในการโอนที่ดินอีกแปลงหนึ่งนั้น จึงเป็นการทำโดยปราศจากอำนาจ แต่เมื่อมีใบมอบอำนาจ ก็ยังถือว่าเป็นตัวแทนอยู่
    • คำว่า ทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี หมายถึง ทำนอกเหนือจากอำนาจที่ได้รับจากตัวการ โดยนิติกรรมหรือสัญญาที่ตัวแทนทำนั้นทั้งหมด หรือบางส่วนที่แยกออกได้นั้นอยู่นอกเหนือจากอำนาจที่ได้รับจากตัวการ เช่น ผู้จัดการสาขาได้รับมอบอำนาจจากธนาคารอนุมัติให้ลูกค้ากู้เบิกเงินเกินบัญชีได้ไม่เกินวงเงิน 100,000 บาท แต่ลูกค้าเบิกเงินเกินบัญชีเต็มวงเงินแล้ว ผู้จัดการสาขายังยอมให้ลูกค้าเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีก ดังนี้ในส่วนที่เกินวงเงินไปนั้น ถือว่าผู้จัดการสาขาทำนอกเหนือขอบอำนาจที่ได้รับจากธนาคาร หรือลูกค้ายังมีวงเบิกเงินเกินบัญชีเหลืออยู่ จึงขอเบิกเงินเกินบัญชีส่วนที่เหลือจนเต็มวงเงิน และขอเบิกเงินเกินวงเงินอีกส่วนหนึ่งด้วย ดังนี้ส่วนที่ลูกค้าขอเบิกเงินเกินบัญชีส่วนที่เหลือจนเต็มวงเงิน ถือว่ายังอยู่ในอำนาจของผู้จัดการสาขา แต่ส่วนที่ลูกค้าขอเบิกเงินเกินวงเงินส่วนนี้ไม่อยู่ในขอบอำนาจของผู้จัดการสาขา แต่ถ้าไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และมีทั้งส่วนอยู่ในอำนาจที่ได้รับจากตัวการและส่วนที่เกินขอบอำนาจปนกัน เช่นตามตัวอย่างในมาตรา 822 ดังนี้เรียกว่า ตัวแทนทำเกินขอบอำนาจ ซึ่งอยู่ในบังคับมาตรา 822 ไม่ใช่มาตรานี้
    • แต่อย่างไรก็ตาม การให้สัตยาบันของตัวการตามมาตรานี้ เป็นการให้การรับรองของตัวการหลังจากตัวแทนทำนอกเหนือขอบอำนาจ ส่วนทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทนตามมาตรา 822 เป็นการกระทำของตัวการก่อนที่ตัวแทนจะทำเกินขอบอำนาจ แต่บางครั้งทั้งสองการกระทำก็มีลักษณะที่คล้ายกัน และการให้สัตยาบันตามมาตรานี้ก็อาจถือว่าเป็นทางปฏิบัติของตัวการตามมาตรา 820 ได้ ดังนั้นการที่ตัวแทนทำเกินขอบอำนาจตามมาตรา 822 กับการที่ตัวแทนทำนอกเหนือขอบอำนาจจึงมีลักษณะที่คล้ายกัน บางกรณีผลที่เกิดขึ้นอาจไม่แตกต่างกัน
    • คำว่า ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการ หมายถึง ตัวการไม่ต้องรับผิดตามนิติกรรมหรือสัญญาที่ตัวแทนทำไปโดยไม่ชอบนั้น กรณีนี้ไม่ได้เป็นไปตามหลักในมาตรา 820
    • คำว่า ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น หมายถึง การกระทำของตัวการที่เป็นการยอมรับว่า นิติกรรมหรือสัญญานั้นได้เกิดขึ้นหรือมีอยู่จริง อาจถือตามพฤติการณ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 180 (1) – (6) ก็ได้ เช่น ตัวการชำระหนี้ตามนิติกรรมหรือสัญญานั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือตัวการเรียกหรือฟ้องเรียกให้ชำระหนี้ตามนิติกรรมหรือสัญญานั้น หรือตัวการแปลงหนี้ใหม่ตามนิติกรรมหรือสัญญานั้น หรือตัวการให้ประกันเพื่อการชำระหนี้นั้น หรือตัวการโอนสิทธิหรือความรับผิดตามนิติกรรมหรือสัญญานั้นทั้งหมดหรือบางส่วน หรือตัวการแถลงยอมรับว่าตัวแทนของตนได้ทำนิติกรรมหรือสัญญานั้นจริง หรือตัวการเข้ารับเอาประโยชน์จากนิติกรรมหรือสัญญานั้นทั้งหมดหรือบางส่วน
    • เมื่อตัวการให้สัตยาบันแล้ว ตัวการย่อมต้องผูกพันตามนิติกรรมหรือสัญญานั้น เป็นไปตามหลักในมาตรา 820
  • ตามมาตรา 823 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ หมายความว่า
    • คำว่า ตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง หมายถึง ตัวแทนต้องเป็นผู้รับผิดตามนิติกรรมหรือสัญญานั้นเอง เพราะตัวแทนเป็นผู้ทำนิติกรรมหรือสัญญากับบุคคลภายนอกอีกฝ่ายหนึ่งเอง ตัวแทนจึงต้องถูกผูกพันตามนิติกรรมหรือสัญญาที่ตนเองได้ทำไปนั้น
    • คำว่า เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ หมายถึง เป็นการยกข้อต่อสู้ของตัวแทนขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก หรือคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีนี้ถ้าบุคคลภายนอก หรือคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งรู้อยู่แล้วก่อนเข้าทำนิติกรรม หรือสัญญากับตัวแทนว่า ตัวแทนนั้นทำการโดยปราศจากอำนาจ หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ ต้องถือว่าบุคคลภายนอก หรือคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทำการโดยไม่สุจริต และมีความประสงค์จะให้ตัวการต้องถูกผูกพันตามนิติกรรม หรือสัญญาที่ตัวแทนทำการโดยไม่ชอบนั้น ตามมาตรานี้จึงให้ตัวแทนที่ทำการโดยไม่ชอบ และบุคคลภายนอก หรือคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งทำการโดยไม่สุจริตเช่นกันนั้น ไม่ต้องรับผิดต่อกัน
  • ตามมาตรา 824 ที่บัญญัติว่า ตัวแทนคนใดทำสัญญาแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะต้องรับผิดตามสัญญานั้นแต่ลำพังตนเอง
    • ตามมาตรานี้ เรียกว่า ตัวการต่างประเทศ ถือเป็นตัวแทนประเภทหนึ่ง
    • คำว่า ตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศ หมายถึง ตัวการนั้นประกอบธุรกิจ หรือมีสำนักงาน และพักอาศัยอยู่ในต่างประเทศทั้งหมด ไม่ได้ประกอบธุรกิจ หรือมีสำนักงาน หรือพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างใดอย่างหนึ่ง
    • คำว่า ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะต้องรับผิดตามสัญญานั้นแต่ลำพังตนเอง หมายถึง ตัวแทนนั้นต้องถูกฟ้องร้องบังคับตามสัญญาโดยตรง แม้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะรู้ว่าตัวแทนทำการแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศก็ตาม กรณีนี้จึงไม่เป็นไปตามหลักในมาตรา 820 เพราะความจำเป็น และความสะดวกในการดำเนินคดีของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่ประกอบธุรกิจ หรือมีสำนักงาน หรือพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งในขณะที่เริ่มใช้ป.พ.พ. การเดินทางระหว่างประเทศเป็นไปด้วยความยากลำบาก
    • แม้ไม่ได้บัญญัติให้ ตัวแทนสามารถฟ้องร้องคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในประเทศไทยได้ แต่ถ้าตัวการมอบอำนาจให้ตัวแทนสามารถฟ้องร้องคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในประเทศไทยได้ ตัวแทนก็ย่อมสามารถฟ้องร้องคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในประเทศไทยได้ตามอำนาจที่ตนเองได้รับมา
  • ตามมาตรา 825 ที่บัญญัติว่า ถ้าตัวแทนเข้าทำสัญญากับบุคคลภายนอกโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างเป็นทรัพย์สินอย่างใด ๆ หรือประโยชน์อย่างอื่นอันบุคคลภายนอกได้ให้เป็นลาภส่วนตัวก็ดี หรือให้คำมั่นว่าจะให้ก็ดี ท่านว่าตัวการหาต้องผูกพันในสัญญาซึ่งตัวแทนของตนได้ทำนั้นไม่ เว้นแต่ตัวการจะได้ยินยอมด้วย หมายความว่า
    • ตามมาตรานี้ เรียกว่า ตัวแทนเห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือตัวแทนไม่สุจริต
    • คำว่า โดยเห็นแก่อามิสสินจ้างเป็นทรัพย์สินอย่างใด ๆ หรือประโยชน์อย่างอื่นอันบุคคลภายนอกได้ให้เป็นลาภส่วนตัวก็ดี หรือให้คำมั่นว่าจะให้ก็ดี หมายถึง คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้ หรือเสนอว่าจะให้ เงิน หรือทรัพย์สินอย่างใด ๆ หรือประโยชน์อย่างอื่นแก่ตัวแทน เพื่อที่จะให้ตนเองได้เข้าทำสัญญานั้นกับตัวแทน จึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตของตัวแทน และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่ตัวการไม่ได้รู้เห็นยินยอมกับการกระทำดังกล่าวด้วย มาตรานี้จึงไม่ให้ตัวการต้องผูกพันตามสัญญานั้น เป็นข้อยกเว้นจากหลักในมาตรา 820
    • คำว่า เว้นแต่ตัวการจะได้ยินยอมด้วย หมายถึง ตัวการได้รับรู้ หรือทราบเรื่องที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้ หรือเสนอว่าจะให้ เงิน หรือทรัพย์สินอย่างใด ๆ หรือประโยชน์อย่างอื่นแก่ตัวแทน เพื่อที่จะให้ตนเองได้เข้าทำสัญญานั้นกับตัวแทนแล้ว แต่ตัวการก็ยินยอม หรือไม่ว่ากล่าวอย่างใด ก็ต้องถือว่าตัวการมีความประสงค์เช่นนั้น และยังยินยอมที่จะผูกพันตามสัญญาดังกล่าว ในกรณีนี้ตัวการจึงต้องผูกพันตามสัญญานั้นเป็นไปตามหลักในมาตรา 820
  • ตามมาตรา 828 ที่บัญญัติว่า ท่านว่าตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์อันเขาได้มอบหมายแก่ตนไป จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะอาจเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้น ๆ ได้ หมายความว่า
    • คำว่า ตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์ หมายถึง ตัวแทนมีอำนาจทำการตามที่จำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวการที่ตาย หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถ หรือล้มละลายได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องดูขอบอำนาจที่ตัวแทนได้รับมาตามสัญญาตัวแทนอีกต่อไป เพราะในกรณีนี้สัญญาตัวแทนย่อมสิ้นสุดลงตามมาตรา 826 วรรคสองแล้ว ดังนั้นขอบอำนาจที่ตัวแทนมีอยู่ตามสัญญาตัวแทนจึงย่อมสิ้นสุดตามไปด้วย ตัวแทนย่อมมีอำนาจตามมาตรานี้ ตามพฤติการณ์แต่ละกรณี ๆ ไปว่า มีจำเป็นต้องจัดการอย่างไร ตัวแทนก็ย่อมมีอำนาจจัดการอย่างนั้นได้ทั้งสิ้น
    • ตามมาตรานี้ได้กำหนดหน้าที่ของตัวแทนให้ต้องมีอยู่ต่อทายาทหรือผู้แทนของตัวการหลังสัญญาตัวแทนสิ้นสุดลงไปแล้วด้วย ตัวแทนไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะต่อตัวการที่เป็นคู่สัญญาของตนในขณะที่สัญญาตัวแทนยังคงมีผลอยู่เหมือนสัญญาอื่น ๆ เท่านั้น เป็นลักษณะพิเศษของสัญญาตัวแทนนี้

2. ตัวแทนค้าต่าง

มาตราสำคัญ

836 , 837 , 838 , 839 , 840

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา 836 ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้ไร้ความสามารถหาอาจจะทำการเป็นตัวแทนค้าต่างได้ไม่ เว้นแต่จะได้รับอำนาจโดยชอบให้ทำได้ หมายความว่า
    • คำว่า บุคคลผู้ไร้ความสามารถ หมายถึง คนที่หย่อนความสามารถทั้งหมดด้วย คือ ผู้เยาว์ คนวิกลจริต คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ แต่ไม่หมายถึง คนสาบสูญที่กลับมาแล้วแต่ศาลยังไม่สั่งเพิกถอนการสาบสูญด้วย เช่นเดียวกับความหมายในมาตรา 799
    • คำว่า หาอาจจะทำการเป็นตัวแทนค้าต่างได้ไม่ หมายถึง ไม่สามารถทำการเป็นตัวแทนค้าต่างให้แก่ตัวการได้ เป็นข้อที่แตกต่างจากตัวแทนไร้ความสามารถตามมาตรา 799
    • คำว่า เว้นแต่จะได้รับอำนาจโดยชอบให้ทำได้ หมายถึง คนที่หย่อนความสามารถได้รับการแก้ไขในเรื่องความสามารถจนมีความสามารถในการค้าขายได้เหมือนคนที่มีความสามารถปกติแล้ว เช่น ผู้เยาว์ก็ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้ปกครองให้ทำการค้าขายตามมาตรา 27 ได้เสียก่อน หรือคนเสมือนไร้ความสามารถบางกรณีอาจต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์เสียก่อน แต่คนไร้ความสามารถไม่สามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้ ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทนให้เสมอ ดังนั้นคนไร้ความสามารถจึงไม่สามารถทำการเป็นตัวแทนค้าต่างได้ หากคนไร้ความสามารถประสงค์จะทำการเป็นตัวแทนค้าต่าง ก็คงต้องขอให้ศาลเพิกถอนการเป็นคนไร้ความสามารถเสียก่อน ส่วนคนวิกลจริตเนื่องจากไม่สามารถทำนิติกรรมหรือสัญญาได้ จึงไม่สามารถเป็นตัวแทนค้าต่างได้
  • ตามมาตรา 837 ที่บัญญัติว่า ในการที่ตัวแทนค้าต่างทำการขายหรือซื้อหรือจัดการกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย หมายความว่า
    • คำว่า ทำการขายหรือซื้อหรือจัดการกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการ หมายถึง มาตรานี้ได้กำหนดสิ่งที่ตัวแทนค้าต่างสามารถกระทำการแทนตัวการได้ 3 ประเภท คือ ขาย หรือซื้อ หรือจัดการกิจการค้าขายอย่างอื่น ซึ่งจัดการกิจการค้าขายอย่างอื่น คือ ผู้มีอาชีพรับบริหารกิจการแทนตัวการ เช่น รับบริหารหุ้นของบริษัทของตัวการ
    • คำว่า ย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง หมายถึง ตัวแทนค้าต่างสามารถใช้สิทธิตามสัญญาเรียกร้องเอาแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งอีกฝ่ายหนึ่งได้ เป็นกรณีของการที่ตัวแทนมีสิทธิตามสัญญา
    • คำว่า ในกิจการเช่นนั้น หมายถึง ขาย หรือซื้อ หรือจัดการกิจการค้าขายอย่างอื่นที่ตัวแทนค้าต่างไปทำแทนตัวการ
    • คำว่า ย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย หมายถึง ตัวแทนค้าต่างต้องถูกฟ้องร้องตามสัญญาจากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งอีกฝ่ายหนึ่งได้ เป็นกรณีของการที่ตัวแทนมีหน้าที่และความรับผิดตามสัญญา
    • ตามมาตรานี้กำหนดให้ตัวแทนค้าต่างสามารถดำเนินการ หรือต้องถูกผูกพันตามสัญญาเสมือนเป็นคู่สัญญาในสัญญานั้นแทนตัวการได้ทั้งหมด เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญของตัวแทนตามปกติ กับตัวแทนค้าต่าง
  • ตามมาตรา 838 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการเพื่อชำระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกำหนดในสัญญาหรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกัน หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น หมายความว่า
    • คำว่า ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการเพื่อชำระหนี้นั้นเองไม่ หมายถึง แม้ตามมาตรา 837 ตัวแทนค้าต่างต้องเข้าไปใช้สิทธิหรือมีหน้าที่และความรับผิดตามสัญญาเสมือนเป็นคู่สัญญาด้วยก็ตาม แต่ตามมาตรานี้บัญญัติให้ตัวแทนค้าต่างก็ไม่ต้องรับผิดต่อตัวการด้วย ในกรณีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามสัญญานั้น
    • คำว่า เว้นแต่จะได้มีข้อกำหนดในสัญญาหรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกัน หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น หมายถึง มาตรานี้ได้กำหนดให้ตัวแทนค้าต่างจะต้องรับผิดต่อตัวการด้วย ในกรณีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามสัญญาไว้ 3 ประการ คือ มีข้อกำหนดในสัญญา หรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกัน หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่น
    • คำว่า มีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกัน หมายถึง ในทางการค้าขายประเภทนั้น หรือในสมาคมการค้าประเภทนั้นมีข้อกำหนดหรือธรรมเนียมที่ชัดเจนหรือเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งตัวการกับตัวแทนค้าต่างก็ประพฤติปฏิบัติต่อกันตามข้อกำหนดหรือธรรมเนียมเช่นนั้นด้วย
  • ตามมาตรา 838 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน ชอบที่จะได้รับบำเหน็จพิเศษ หมายความว่า
    • คำว่า ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไซร้ หมายถึง ตัวแทนค้าต่างเข้ารับประกันต่อตัวการว่า เมื่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามสัญญานั้น ตัวแทนค้าต่างจะเข้ารับชำระหนี้ให้แก่ตัวการแทนคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเมื่อตัวแทนค้าต่างเข้าชำระหนี้ให้แก่ตัวการแทนคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ตัวแทนค้าต่างก็ย่อมได้รับสิทธิจากตัวการที่จะไปฟ้องร้องไล่เบี้ยเอาแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งให้ชำระหนี้แก่ตนได้ต่อไป
    • คำว่า ตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน หมายถึง วรรคนี้ได้เรียกชื่อตัวแทนค้าต่างประเภทนี้เสียใหม่ว่า ตัวแทนฐานประกัน
    • คำว่า ชอบที่จะได้รับบำเหน็จพิเศษ หมายถึง ตามปกติตัวแทนค้าต่างย่อมที่จะได้รับบำเหน็จเป็นปกติอยู่แล้วแม้ไม่มีข้อตกลงให้มีบำเหน็จก็ตาม เนื่องจากตัวแทนค้าต่างเป็นผู้มีอาชีพในการขาย หรือซื้อ หรือจัดการกิจการค้าขายอย่างอื่นแทนตัวการตามปกติ จึงต้องมีค่าตอบแทนในการทำงานดังกล่าวอยู่แล้ว แต่ถ้าตัวแทนค้าต่างคนนั้นเป็นตัวแทนฐานประกันด้วย ตามวรรคนี้บัญญัติให้ได้รับบำเหน็จ หรือค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ
    • การได้รับบำเหน็จของตัวแทนค้าต่างนี้ เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญของตัวแทนตามปกติ กับตัวแทนค้าต่างอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตามมาตรา 803 ตัวแทนตามปกติจะไม่มีบำเหน็จ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้น 3 ประการตามที่บัญญัติไว้
  • ตามมาตรา 839 ที่บัญญัติว่า ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายเป็นราคาต่ำกว่าที่ตัวการกำหนดหรือทำการซื้อเป็นราคาสูงไปกว่าที่ตัวการกำหนดไซร้ หากว่าตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดเกินนั้นแล้ว ท่านว่าการขายหรือการซื้ออันนั้นตัวการก็ต้องรับขายรับซื้อ หมายความว่า
    • คำว่า ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายเป็นราคาต่ำกว่าที่ตัวการกำหนดหรือทำการซื้อเป็นราคาสูงไปกว่าที่ตัวการกำหนด หมายถึง ตามมาตรา 837 ตัวแทนค้าต่างต้องเข้าไปใช้สิทธิหรือมีหน้าที่และความรับผิดตามสัญญาเสมือนเป็นคู่สัญญาด้วย ดังนั้นตามมาตรานี้จึงบัญญัติให้อำนาจตัวแทนค้าต่างสามารถที่จะขายหรือซื้อในราคาที่ต่ำกว่า หรือสูงกว่าราคาที่ตัวการกำหนดไว้ตั้งแต่แรกได้ แม้จะมีบัญญัติให้อำนาจตัวแทนค้าต่างไว้ แต่การกระทำเช่นนี้ก็ยังถือว่า ไม่ผูกพันตัวการ ซึ่งตัวแทนค้าต่างต้องกระทำตามที่บัญญัติไว้ตอนท้ายก่อน จึงจะผูกพันตัวการได้ดังนั้นหากจะทำตามที่บัญญัติไว้ตัวแทนค้าต่าง จึงควรจะขออนุญาตจากตัวการในการกระทำดังกล่าวเสียก่อน
    • คำว่า หากว่าตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดเกินนั้นแล้ว ท่านว่าการขายหรือการซื้ออันนั้นตัวการก็ต้องรับขายรับซื้อ หมายถึง เมื่อตัวแทนค้าต่างมีอำนาจที่จะขายหรือซื้อในราคาที่ต่ำกว่า หรือสูงกว่าราคาที่ตัวการกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อตัวแทนค้าต่างกระทำเช่นนั้นโดยไม่ได้ขออนุญาตจากตัวการในการกระทำดังกล่าวก่อน แต่ถ้าตัวแทนค้าต่างตกลงจะใช้ราคาส่วนที่ขาดหรือเกินให้แก่ตัวการ เพื่อให้เป็นไปตามราคาที่ตัวการกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว การขาย หรือซื้อที่ตัวแทนค้าต่างไปทำแทนตัวการนั้นย่อมผูกพันตัวการด้วย แต่ราคาที่ขาดหรือเกินนั้นตัวแทนค้าต่างคงต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง ไม่สามารถจะไปไล่เบี้ยคืนจากผู้ใดได้ แต่การที่ตัวแทนค้าต่างกระทำเช่นนั้นอาจเป็นไปเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทำงานของตัวแทนค้าต่างเอง
  • ตามมาตรา 840 ที่บัญญัติว่า ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด หรือทำการซื้อได้ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกำหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ หมายความว่า
    • คำว่า ตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด หรือทำการซื้อได้ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกำหนด หมายถึง แม้ว่าตัวแทนค้าต่างจะทำการแทนตัวการได้ 3 ประการ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 837 คือ ขาย หรือซื้อ หรือจัดการกิจการค้าขายอย่างอื่นก็ตาม แต่ตามมาตรานี้จำกัดไว้เพียง 2 ประการ คือ การขายหรือการซื้อเท่านั้น และเป็นการขายได้ราคาสูงกว่า หรือเป็นการซื้อได้ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น
    • คำว่า ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ หมายถึง ตัวแทนค้าต่างจะต้องคืนส่วนเกินดังกล่าวให้แก่ตัวการทั้งหมด จะเอาไว้เป็นประโยชน์ หรือค่าตอบแทนของตนเองไม่ได้ เพราะสัญญาตัวแทนถือความสุจริตระหว่างตัวการกับตัวแทนเป็นสิ่งสำคัญ มีความหมายเดียวกับมาตรา 810 วรรคหนึ่ง

3. นายหน้า

มาตราสำคัญ

845

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นจะสำเร็จแล้ว หมายความว่า
    • คำว่า บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า หมายถึง การตกลงให้เป็นนายหน้าจะมีค่าบำเหน็จ หรือค่าตอบแทนก็ต่อเมื่อมีการตกลงกันไว้เท่านั้น กรณีนี้ไม่ได้บัญญัติเรียกบุคคลที่ตกลงให้นายหน้าดำเนินการว่า ตัวการ
    • คำว่า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี หมายถึง การดำเนินการให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำสัญญากันมี 2 ประการ คือ
      • การชี้ช่อง เป็นการแจ้งหรือบอกกล่าวแก่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายให้ทราบหรือเจรจากัน และ
      • การจัดการให้ได้ทำสัญญากัน คือ การจัดให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมาพบ หรือตกลงทำสัญญากันตามแบบที่กฎหมายกำหนด
    • คำว่า ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ หมายถึง นายหน้าจะได้รับค่าบำเหน็จ หรือบุคคลที่ตกลงให้นายหน้าดำเนินการจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จหรือค่าตอบแทนให้แก่นายหน้าก็ต่อเมื่อมีการทำสัญญากันสำเร็จแล้วเท่านั้น แต่อาจมีการตกลงให้จ่ายค่าตอบแทนแก่นายหน้าบ้างแม้ไม่สามารถทำสัญญาได้ ก็ไม่มีข้อห้ามในการตกลงดังกล่าวแต่อย่างใด
    • คำว่า ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นจะสำเร็จแล้ว หมายถึง สัญญาที่คู่สัญญาทำกันนั้นมีเงื่อนไขบังคับก่อนในการปฏิบัติตามสัญญานั้นไว้ ดังนี้นายหน้าจะได้รับค่าบำเหน็จหรือค่าตอบแทนได้ก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญานั้นเสียก่อน แต่บทบัญญัติในส่วนนี้อาจตกลงยกเว้นได้
    • นายหน้าจึงมีลักษณะคล้ายการเป็นตัวแทน แต่แตกต่างกันตรงที่นายหน้าไม่ได้เข้าร่วมทำสัญญากับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งด้วย
ณ ห้องว่างกลางหมู่ดาว กฎหมาย