1. ตัวการ

มาตราสำคัญ

83

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา 83 ที่บัญญัติว่า ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หมายความว่า
    • คำว่า ความผิดใดเกิดขึ้น หมายถึง ความผิดทั้งหมดตามป.อ. นี้
      • รวมทั้งมาตรานี้ยังสามารถนำไปใช้กับการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาอื่น ๆ ที่ไม่ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ของผู้ร่วมกระทำความผิดของตนไว้เป็นพิเศษได้ด้วย เช่น พ.ร.บ.ยาเสพติด ฯ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ แต่ในปัจจุบันกฎหมายอาญาอื่นเกือบทั้งหมด ไม่ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ของผู้ร่วมกระทำความผิดของตนไว้ต่างหากเป็นพิเศษแตกต่างจากหลักเกณฑ์ตามมาตรานี้แต่อย่างใด อาจจะมีบัญญัติเพิ่มเติมให้ละเอียดขึ้น หรือให้ครอบคลุมกับความผิดตามกฎหมายนั้นมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงสามารถนำหลักเกณฑ์ตามมาตรานี้ไปใช้กับการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาอื่น ๆ ได้ด้วย
      • ความผิดที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่การกระทำนั้นเริ่มเป็นความผิด คือ พยายามกระทำความผิด คงมีเพียงบางลักษณะเท่านั้นที่เริ่มเป็นความผิดตั้งแต่การตระเตรียมการ เช่น วางเพลิงเผาทรัพย์ ตามมาตรา 219
      • ความผิดที่เกิดขึ้นนี้ รวมถึงความผิดที่การกระทำบางส่วนเกิดขึ้นนอกประเทศ บางส่วนเกิดขึ้นในประเทศ หรือความผิดที่การกระทำทั้งหมดเกิดขึ้นนอกประเทศ ตามมาตรา 4 – 11 ด้วย
    • คำว่า โดยการกระทำ หมายถึง มีการกระทำเกิดขึ้นตามโครงสร้างความรับผิดในทางอาญาแล้ว คือ ต้องมีการคิด ตกลงใจ และกระทำตามที่คิด ไม่ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ก็อยู่ในความหมายนี้ทั้งสิ้น
    • คำว่า ของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป หมายถึง มนุษย์ หรือนิติบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เช่น ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ธนาคาร กองทุนรวม สมาคม มูลนิธิ กระทรวง ทบวง กรม วัด จังหวัด องค์กรต่าง ๆ ที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นนิติบุคคลด้วย และรวมทั้ง นิติบุคคลที่ก่อตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศอื่นด้วย ซึ่งอาจจะมีองค์ประกอบของนิติบุคคลที่แตกต่างจากนิติบุคคลของไทย หรืออาจจะมีรูปแบบที่หลากหลายกว่าของไทย แต่เมื่อกฎหมายของประเทศอื่นบัญญัติให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลแล้ว ก็อยู่ในความหมายนี้ทั้งสิ้น รวมถึงกิจการร่วมค้า ( joint Venture ) หรือการรวมกลุ่มทางการค้า เช่น สายการเดินเรือ แม้ว่ากิจการร่วมค้าในปัจจุบันจะยังไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นนิติบุคคล แต่กิจการร่วมค้าเกิดจากการรวมกลุ่มของนิติบุคคลหลาย ๆ นิติบุคคลเพื่อทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะกิจ ดังนั้นกิจการร่วมค้าในลักษณะของนิติบุคคลหลาย ๆ นิติบุคคล จึงอยู่ในความหมายนี้ด้วย
      • ไม่ได้หมายถึง ผู้ที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติให้มีหน้าที่เสียภาษี แต่ไม่มีกฎหมายใดจัดตั้งให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล
      • และไม่ได้หมายถึง ประเทศต่าง ๆ ที่แม้จะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ก็ไม่ใช่นิติบุคคลตามความหมายในมาตรานี้
      • มนุษย์ เพียงคนเดียวไม่อยู่ในบังคับมาตรานี้ มนุษย์เพียงคนเดียวก็ย่อมปรับบทเป็นความผิดตามมาตราต่าง ๆ ในภาค 2 และ 3 ได้โดยตรง
      • นิติบุคคลตามป.พ.พ.เป็นเพียงกองทรัพย์สินไม่สามารถกระทำการเองได้ ต้องมีมนุษย์กระทำการแทนให้ นิติบุคคลจึงไม่สามารถกระทำความผิดได้เพียงลำพังตนเอง ต้องร่วมกระทำการกับมนุษย์อีกอย่างน้อย 1 คน ดังนั้นการกระทำความผิดของนิติบุคคล จึงเป็นการกระทำตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปเสมอ
      • มนุษย์ไม่ได้จำกัดอายุ แต่ต้องสามารถมีการกระทำ และมีเจตนาได้ตามโครงสร้างความรับผิดในทางอาญา
    • คำว่า ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิด หมายถึง การร่วมกระทำการ มี 2 ส่วนที่สำคัญ ก็คือ การร่วมมือ และการร่วมใจ การร่วมมือ คือ การร่วมในการกระทำ ส่วนการร่วมใจ คือ การร่วมในเจตนา
      • การร่วมมือ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
        • 1. การร่วมกระทำแบบการกระทำเดียว หมายถึง การร่วมกันกระทำการในลักษณะเดียวกัน (Act) ในเวลาเดียวกัน (Time) ในสถานที่เดียวกัน (Place) ก่อให้เกิดผลเดียวกัน (Result) เช่น ร่วมกันทำร้ายร่างกาย หรือร่วมกันลักทรัพย์ แต่การร่วมกระทำแบบการกระทำเดียวนี้ ทุกคนที่ร่วมกระทำก็อาจจะไม่จำต้องทำในลักษณะเดียวเหมือนกันหมดทุกคน โดยบางคนอาจจะเป็นคนเปิดประตูห้องนิรภัย บางคนอาจจะเป็นคนค้นหาทรัพย์ที่อยู่ในห้องนิรภัย บางคนอาจจะเป็นคนรวบรวมทรัพย์ที่อยู่ในห้องนิรภัย บางคนอาจจะเป็นคนขนย้ายทรัพย์ที่รวบรวมแล้วออกจากห้องนิรภัย ทั้งนี้เพื่อความรวดเร็วในการลักทรัพย์ แต่การกระทำของทุกคนต่างเกื้อหนุนกัน และส่งต่อผลของการกระทำของตนให้แก่คนอื่น เพื่อให้คนอื่นสามารถกระทำการในส่วนของเขาต่อไปได้ ในกรณีนี้ ก็คือ คนเปิดประตูห้องนิรภัยทำการเปิดประตูห้องนิรภัยเพื่อให้คนค้นหาทรัพย์ คนรวบรวมทรัพย์ คนขนย้ายทรัพย์เข้าไปในห้องนิรภัยได้ แล้วคนค้นหาทรัพย์ทำการค้นหาทรัพย์และบอกให้คนรวบรวมทรัพย์ทำการรวบรวมทรัพย์และส่งมอบให้คนขนย้ายทรัพย์ทำการขนย้ายทรัพย์ออกจากห้องนิรภัยต่อไป การกระทำของทุกคนที่ส่งต่อกันจึงรวมกับการกระทำของคนอื่นเป็นการกระทำเดียวกัน ทำให้เกิดผลสำเร็จในการกระทำความผิดครั้งนั้น นอกจากนี้เมื่อผู้ร่วมกระทำทุกคนกระทำการอยู่ในสถานที่เดียวกัน ในเวลาเดียวกัน บางครั้งจึงอาจมีการช่วยเหลือกัน หรือสลับการกระทำกันได้ ผลที่เกิดขึ้น คือ การนำทรัพย์ออกไปจากห้องนิรภัย จึงเกิดจากการกระทำของทุกคนที่ส่งต่อกัน ไม่สามารถแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนว่าการกระทำของคนไหนมีส่วนโดยตรงให้เกิดผลส่วนใดขึ้น และไม่เกี่ยวกับผลส่วนอื่นอย่างไร ดังนั้นจึงต้องถือว่า ผลที่เกิดขึ้นคือ การนำทรัพย์ออกไปจากห้องนิรภัยได้นั้นเกิดจากการกระทำของทุกคนร่วมกัน
        • 2. การร่วมกระทำแบบแบ่งส่วนการกระทำ หมายถึง การช่วยกันกระทำการในลักษณะเดียวกัน (Act) ในเวลาเดียวกัน (Time) ก่อให้เกิดผลเดียวกัน (Result) แต่คนละสถานที่กัน (Place) หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น การแบ่งหน้าที่กันทำ เช่น ร่วมกันลักทรัพย์ แม้ว่าหลายคนจะลักทรัพย์อยู่ที่ห้องนิรภัย แต่มีบางคนดูต้นทางอยู่อีกสถานที่หนึ่ง คนดูต้นทางย่อมไม่อาจช่วยเหลือคนอื่น ๆ หรือสลับการกระทำกับคนอื่น ๆ ที่กระทำอยู่ที่ห้องนิรภัยได้ แต่การกระทำของคนดูต้นทางก็ส่งผลของการกระทำมาช่วยคนอื่น ๆ ได้เช่นเดียวกัน ไม่แตกต่างจากการร่วมกระทำการของคนเปิดประตูห้องนิรภัย คนค้นหาทรัพย์ คนรวบรวมทรัพย์ และคนขนย้ายทรัพย์ การนำทรัพย์ออกไปจากห้องนิรภัย จึงไม่สามารถแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนว่าการกระทำของคนไหนมีส่วนโดยตรงให้เกิดผลส่วนใดขึ้น และไม่เกี่ยวกับผลส่วนอื่นอย่างไรเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงถือได้ว่า ผลที่เกิดขึ้นคือ การนำทรัพย์ออกไปจากห้องนิรภัยในกรณีนี้ ก็เกิดจากการกระทำของทุกคนร่วมกันเช่นเดียวกันกับกรณีแรก
      • การร่วมใจ คือ มีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลจากการกระทำนั้นร่วมกัน ในกรณีนี้ คือ การเห็นชอบที่จะกระทำการร่วมกัน การที่ผู้กระทำหลายคนจะมีเจตนาร่วมกัน หรือเห็นชอบที่จะกระทำการร่วมกันได้นั้น ผู้กระทำทุกคนจะต้องรู้ถึงเจตนาของผู้กระทำคนอื่นในการกระทำครั้งนั้นเสียก่อน จนยอมรับผลหรือประโยชน์จากการกระทำของผู้กระทำคนอื่น เสมือนเป็นผลหรือประโยชน์จากการกระทำของตนเอง เช่น มีการเข้าร่วมในการวางแผนกันมาก่อน หรือมีการพูดคุยกันมาก่อนถึงผลหรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการกระทำในครั้งนั้นกันมาก่อนแล้ว และทุกคนก็เห็นชอบด้วยที่จะกระทำการร่วมกันตามที่ได้วางแผนกันหรือพูดคุยกันไว้แล้วนั้น การเห็นชอบจึงเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้กระทำทุกคนมีเจตนาร่วมกระทำการด้วยกันแล้ว
        • อย่างไรก็ตามบางครั้งแม้ผู้กระทำบางคนอาจจะเข้าร่วมกระทำการด้วยกันกับผู้กระทำคนอื่น แต่ผู้กระทำคนนั้นก็อาจจะไม่ได้มีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผล หรือเห็นชอบกับการกระทำร่วมกันดังกล่าว ผู้กระทำคนนั้นคงมีเพียงเจตนาสนับสนุน หรือช่วยเหลือผู้กระทำคนอื่นเท่านั้น หรือผู้กระทำคนนั้นอาจมีเจตนาใช้ให้ผู้กระทำคนอื่นกระทำความผิดในครั้งนั้นก็ตาม แต่เมื่อผู้กระทำคนนั้นมาอยู่ด้วยในสถานที่เดียวกัน ในเวลาเดียวกันกับผู้กระทำคนอื่นแล้ว ก็ย่อมถือว่าผู้กระทำคนนั้นสามารถที่จะช่วยเหลือ หรือได้ร่วมกระทำการกับผู้กระทำคนอื่นแล้ว ซึ่งการมาอยู่ด้วยในสถานที่เดียวกัน ในเวลาเดียวกันกับผู้กระทำคนอื่นนั้น ทำให้เจตนาแต่เดิมของผู้กระทำคนนั้น กลายเป็นเจตนาร่วมกระทำความผิดกับผู้กระทำคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน
        • ในทางกลับกัน แม้ผู้กระทำคนนั้นจะมีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผล หรือเห็นชอบกับการกระทำร่วมกันกับผู้กระทำคนอื่นดังกล่าวด้วยก็ตาม แต่ผู้กระทำคนนั้นก็ไม่ได้เข้าร่วมกระทำการกับผู้กระทำคนอื่นด้วยไม่ว่าสาเหตุใดก็ตาม แค่มีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผล หรือเห็นชอบกับการกระทำร่วมกันกับผู้กระทำคนอื่นเพียงเท่านั้น ไม่ทำให้ผู้กระทำคนนั้นมีการกระทำร่วมกับผู้กระทำคนอื่นไปได้ ต้องดูการเข้าร่วมกระทำการกับผู้กระทำคนอื่นตามความเป็นจริงด้วย
        • และการที่ผู้กระทำคนหนึ่ง ๆ แม้จะเข้าร่วมในการวางแผน หรือพูดคุยกันถึงผลหรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการกระทำในครั้งก่อน ๆ และก็เห็นชอบด้วยที่จะกระทำการร่วมกันตามที่ได้วางแผนกันหรือพูดคุยกันในการกระทำครั้งก่อน ๆ นั้นก็ตาม แต่เมื่อผู้กระทำคนอื่นได้ไปกระทำความผิดขึ้นใหม่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้กระทำคนดังกล่าวนั้นจะมีเจตนาร่วมกัน หรือเห็นชอบด้วยกับผู้กระทำคนอื่นในกระทำความผิดครั้งใหม่นั้น ย่อมต้องดูเจตนาของผู้กระทำแต่ละคนเป็นครั้ง ๆ ไป
        • การกระทำโดยประมาท เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยผู้กระทำความผิดไม่ทันได้คาดคิด หรือทราบล่วงหน้า หรือมีการวางแผน หรือมีการตกลงกันมาก่อน ดังนั้น ผู้กระทำความผิดโดยประมาททุกคน จึงไม่สามารถที่จะตกลง หรือเห็นชอบด้วยกับการกระทำโดยประมาทนั้นมาก่อนได้ ทั้งการกระทำโดยประมาทเป็นการกระทำที่ไม่ใช่โดยเจตนา ผู้กระทำความผิดโดยประมาททุกคนจึงไม่สามารถที่จะร่วมใจ หรือมีเจตนาร่วมกันตามความหมายในมาตรานี้ได้ ดังนั้นการกระทำโดยประมาท จึงไม่มีการร่วมกระทำความผิดตามมาตรานี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า การกระทำโดยประมาท ไม่มีตัวการ ผู้ที่ได้กระทำโดยประมาทแต่ละคน ย่อมมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทตามที่ตนเองได้กระทำเป็นรายบุคคลไป
        • นอกจากนี้ตามมาตรานี้จะต้องเป็นการร่วมกันกระทำความผิดเท่านั้น ถ้าการกระทำของผู้กระทำนั้นไม่เป็นความผิดเสียแล้ว เช่น เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 68 ผู้ที่กระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวไม่มีความผิด ทั้งการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่ถือเป็นการกระทำความผิดด้วย ดังนั้นผู้ที่ร่วมกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมไม่ใช่ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดตามองค์ประกอบในข้อนี้ จึงไม่เป็นตัวการตามมาตรานี้
        • ทั้งในการร่วมกระทำความผิดนั้น หากผู้ร่วมกระทำความผิดคนใดคนหนึ่งมีการกระทำโดยพลาดไปต่อผู้อื่น ตามมาตรา 60 หรือมีการกระทำโดยสำคัญผิดต่ออีกบุคคลหนึ่ง ตามมาตรา 61 แม้ผู้ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำโดยพลาดไป หรือจากการกระทำโดยสำคัญผิดนั้น จะไม่ได้อยู่ในความมุ่งหมายของการตกลงร่วมกระทำความผิดกันมาก่อนก็ตาม ผู้ร่วมกระทำความผิดทุกคนก็ต้องรับผิด สำหรับการกระทำโดยพลาดไป หรือการกระทำโดยสำคัญผิดเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดโดยพลาดไป หรือโดยสำคัญผิดนั้นด้วย
    • คำว่า ด้วยกัน หมายถึง ทุกคนที่เข้าร่วมกระทำความผิดในครั้งนั้น
    • คำว่า เป็นตัวการ หมายถึง เป็นผู้ร่วมกระทำความผิด ตัวการเป็นคำที่ใช้กันในขณะยกร่างป.อ. แต่ไม่ได้หมายถึง เป็นหัวหน้า หรือเป็นคนสำคัญตามความหมายในปัจจุบันแต่อย่างใด
    • คำว่า ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หมายถึง ผู้ร่วมกระทำความผิดในครั้งนั้น ต้องถูกวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นทุกคน แต่อย่างไรก็ตามในการรับโทษจริง ผู้กระทำแต่ละคนอาจได้รับโทษไม่เท่ากันก็ได้ เพราะจะต้องดูเหตุยกเว้นโทษ หรือเหตุลดโทษ อันเป็นเหตุในลักษณะส่วนตัวของผู้กระทำแต่ละคนประกอบด้วย
    • แต่การเป็นตัวการตามมาตรานี้ ไม่ใช่ว่าผู้ที่มีการกระทำร่วมกัน และมีเจตนาร่วมกันแล้ว ผู้กระทำความผิดทุกคนจะสามารถเป็นตัวการร่วมกันในทุกฐานความผิดได้ จะต้องพิจารณาองค์ประกอบของความผิดนั้น ๆ ประกอบด้วย โดยบางฐานความผิดอาจกำหนดองค์ประกอบของผู้ที่จะเป็นผู้กระทำความผิดไว้เป็นพิเศษ เช่น เป็นเจ้าพนักงาน เป็นผู้มีวิชาชีพไว้ ดังนั้นหากผู้ร่วมกระทำความผิดคนใดไม่มีคุณสมบัติตามองค์ประกอบที่กำหนดไว้ดังกล่าว ผู้นั้นย่อมไม่สามารถเป็นตัวการร่วมกับผู้อื่นที่มีคุณสมบัติตามองค์ประกอบที่กำหนดไว้ในมาตรานั้น ๆ ได้ ผู้นั้นคงเป็นได้แต่เพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้นเท่านั้น เพราะการร่วมกระทำความผิดย่อมถือเป็นการสนับสนุนอย่างหนึ่งด้วย

2. ผู้ใช้

มาตราสำคัญ

84

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา 84 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด หมายความว่า
    • คำว่า ผู้ใด หมายถึง มนุษย์ หรือนิติบุคคลก็ได้ ในความหมายเดียวกับมาตรา 84 แต่ถ้าเป็นนิติบุคคลก็ต้องร่วมกระทำกับมนุษย์ด้วยเสมอ
    • คำว่า ก่อให้ หมายถึง การทำให้ผู้ถูกใช้ตัดสินใจกระทำความผิดขึ้นตามที่ใช้ มีตัวอย่างที่ให้ไว้ในข้อความถัดมา คือ การใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด เช่น การหลอกลวง หรือการยั่วยุ หรือการท้าทาย หรือการล่อให้กระทำความผิด หรือการใช้ให้กระทำความผิดต่อ ๆ กันมาเป็นทอด ๆ ก็อยู่ในความหมายนี้เช่นเดียวกัน
      • มีการให้ตัวอย่างหรือคำอธิบายในลักษณะนี้ในกฎหมายไทยไม่มากนัก กรณีที่มีการให้ตัวอย่างหรือคำอธิบายไว้ด้วย แสดงว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก กฎหมายจึงได้ให้ตัวอย่างหรือคำอธิบายไว้ด้วย แต่บางกรณีก็มีความหมายแค่ตามตัวอย่างหรือคำอธิบายที่ให้ไว้เท่านั้น แต่ในมาตรานี้เนื่องจากมีข้อความว่า หรือด้วยวิธีอื่นใด แสดงว่ายังมีกรณีอื่น ๆ อีก ไม่ได้จำกัดเฉพาะตามที่ยกตัวอย่างมาเท่านั้น
      • การก่อให้กระทำความผิด ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่า จะต้องเป็นการใช้ให้กระทำความผิดก่อนที่จะมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ถ้าผู้ถูกใช้ให้กระทำความผิดได้ตัดสินใจกระทำความผิดอยู่ก่อนที่จะมีการใช้แล้ว การใช้ย่อมกลายเป็นเพียงทำให้ผู้ถูกใช้ให้กระทำความผิดฮึกเหิม หรือมีความมั่นใจในการกระทำความผิดเพิ่มขึ้นเท่านั้น การใช้ในลักษณะนี้จึงเป็นเพียงการสนับสนุนการกระทำความผิดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้หากผู้ใช้ในลักษณะนี้ได้มาอยู่ด้วยกับผู้ถูกใช้ในเวลาและสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิดด้วยแล้ว ผู้ใช้ในเช่นนี้ย่อมถือเป็นตัวการด้วยลักษณะหนึ่ง ไม่ใช่เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตามมาตรานี้แต่อย่างใด
      • ทั้งการก่อให้กระทำความผิดตามมาตรานี้ ก็ไม่ได้ระบุเวลาไว้ด้วยว่า จะต้องเป็นใช้ก่อนเกิดการกระทำความผิดในเวลานานมากน้อยเท่าใด หรือจะต้องเป็นการใช้ก่อนมีการกระทำความผิดโดยทันที หรือไม่ ดังนั้นแม้ว่าจะมีการใช้ให้กระทำความผิดมานานแล้ว แต่ผู้ถูกใช้เพิ่งจะมีการกระทำความผิดตามที่ใช้ การใช้ให้กระทำความผิดดังกล่าว ย่อมถือเป็นการก่อให้กระทำความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน
      • การล่อให้กระทำความผิด มี 2 ลักษณะ คือ
        • 1. ผู้กระทำความผิดมีการกระทำความผิดอยู่แล้ว หรือมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว เจ้าพนักงานผู้จับกุมเป็นแต่เพียงลูกค้า หรือผู้ใช้บริการเท่านั้น ในกรณีนี้การล่อให้กระทำความผิดเป็นแต่เพียงการรวบรวมพยานหลักฐานเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการก่อให้ผู้กระทำความผิดกระทำความผิดขึ้นใหม่แต่อย่างใด เพราะความผิดที่จะทำการจับกุมได้เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้คงลงโทษได้เพียงความผิดที่ผู้กระทำได้กระทำมาแล้วเท่านั้น เช่น ผู้กระทำความผิดวางขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ก่อนแล้ว เจ้าพนักงานผู้จับกุมจึงวางแผนเข้าไปขอซื้อสินค้าดังกล่าว เมื่อผู้กระทำความผิดขายสินค้าให้ เจ้าพนักงานผู้จับกุมจึงแสดงตนเข้าจับกุม ดังนี้มีการกระทำความผิด คือ การเสนอขายสินค้า ซึ่งถือเป็นการจำหน่ายสินค้าอย่างหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีผู้ซื้อสินค้าการกระทำดังกล่าวจึงเป็นเพียงพยายามกระทำความผิด แม้เจ้าพนักงานผู้จับกุมจะเข้าขอซื้อ ก็ไม่ทำให้การขายสินค้าของผู้กระทำเป็นความผิดสำเร็จขึ้นแต่อย่างใด เพราะการขอซื้อของเจ้าพนักงานผู้จับกุมไม่ได้เกิดขึ้นจริง การขอซื้อเป็นแต่เพียงการรวบรวมพยานหลักฐานเท่านั้น ในกรณีนี้คงลงโทษผู้กระทำได้เพียงการพยายามกระทำความผิดเท่านั้น
        • 2. ผู้กระทำความผิดไม่มีการกระทำความผิดอยู่ก่อน หรือไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นมาก่อน เจ้าพนักงานผู้จับกุมเป็นผู้เสนอให้ผู้กระทำมีการกระทำความผิดขึ้น ในกรณีนี้การเสนอ หรือล่อให้กระทำความผิดไม่ใช่เป็นแต่เพียงการรวบรวมพยานหลักฐานเท่านั้น แต่เป็นการก่อให้ผู้กระทำความผิดมีการกระทำความผิดขึ้นในลักษณะหนึ่ง เพราะความผิดที่จะเข้าทำการจับกุมไม่ได้เกิดขึ้นอยู่ก่อนเจ้าพนักงานผู้จับกุมเสนอให้ผู้กระทำมีการกระทำความผิด เมื่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด ซึ่งถือว่าเป็นความผิดตามมาตรานี้ การจับกุมที่เกิดขึ้น จึงเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบของเจ้าพนักงานผู้จับกุม การจับกุมซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วย จึงไม่ชอบตามไปด้วยเช่นเดียวกัน แม้การกระทำของผู้กระทำอาจถือเป็นความผิด แต่ก็ไม่สามารถลงโทษผู้กระทำความผิดในกรณีนี้ได้ เพราะถือว่าเป็นการฟ้องคดี หรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
    • คำว่า ผู้อื่น หมายถึง มนุษย์ หรือนิติบุคคล เป็นความหมายเดียวกับคำว่า ผู้ใด
    • คำว่า กระทำความผิด หมายถึง เป็นความหมายเดียวกับคำว่า ความผิดใดเกิดขึ้น ตามมาตรา 83 ที่กล่าวมาแล้ว ทั้งต้องเป็นการก่อให้ผู้ถูกใช้กระทำความผิดโดยเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลเท่านั้น
      • นอกจากนี้ในการกระทำความผิดของผู้ถูกใช้ให้กระทำความผิดนั้น หากผู้ถูกใช้ให้กระทำความผิด มีการกระทำโดยพลาดไปต่อบุคคลอื่น ตามมาตรา 60 หรือมีการกระทำโดยสำคัญผิดต่ออีกบุคคลหนึ่ง ตามมาตรา 61 ผู้ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำโดยพลาดไป หรือจากการกระทำโดยสำคัญผิดนั้น จะไม่ได้อยู่ในความมุ่งหมายของการใช้ให้กระทำความผิดนั้นมาก่อนก็ตาม ผู้ใช้ให้กระทำความผิดก็ต้องรับผิด สำหรับการกระทำโดยพลาดไป หรือการกระทำโดยสำคัญผิดเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดนั้นด้วย
      • การกระทำโดยประมาท เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยผู้กระทำความผิดไม่ทันได้คาดคิด หรือทราบล่วงหน้า หรือมีการวางแผน หรือมีการตกลงกันมาก่อน เมื่อการใช้ให้กระทำความผิดจะต้องเป็นการก่อให้กระทำความผิดก่อนที่จะมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เมื่อไม่สามารถทราบได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดการกระทำโดยประมาทขึ้นหรือไม่ หรือจะเกิดขึ้นเมื่อใด จึงไม่สามารถที่จะใช้ให้กระทำโดยประมาทนั้นล่วงหน้าไว้ก่อนได้ ทั้งการกระทำโดยประมาทเป็นการกระทำที่ไม่ใช่โดยเจตนา ผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงไม่สามารถที่จะก่อให้ผู้ถูกใช้กระทำความผิดโดยเจตนาตามความหมายในมาตรานี้ได้ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การกระทำโดยประมาท ไม่มีผู้ใช้ให้กระทำความผิด
    • คำว่า เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด หมายถึง เป็นผู้กระทำความผิดหลายคนในลักษณะผู้ใช้ให้เกิดกระทำความผิดหลัก คือ เป็นผู้ก่อหรือเริ่มต้นให้ผู้อื่นกระทำความผิด องค์ประกอบข้อนี้ เป็นชื่อเรียกที่ถูกต้องของผู้ใช้ให้เกิดการกระทำความผิดของผู้อื่น แต่เรามักจะเรียกสั้น ๆ ว่า ผู้ใช้ ก็ถือว่าสามารถใช้เรียกแทนชื่อที่ถูกต้องได้
      • ในการพิจารณาเรื่องผู้กระทำความผิดหลายคนในลักษณะของผู้ใช้ ตามมาตรานี้ หรือผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86 แม้ว่าการเป็นผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนจะถือเป็นความผิดต้องรับโทษด้วยเช่นเดียวกัน แต่การรับโทษของผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนถือเป็นการรับโทษในลำดับรอง ที่เกี่ยวเนื่องมาจากการกระทำความผิดที่ก่อให้กระทำ หรือที่สนับสนุนเท่านั้น ทั้งการเป็นผู้ใช้หรือเป็นผู้สนับสนุนก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดในตัวเอง เหมือนความผิดตามภาค 2 และ 3 แต่อย่างใด นอกจากนี้ตามความเป็นจริงแล้ว คงมีความผิดที่เกิดขึ้นจริง ๆ เพียงความผิดที่ก่อให้กระทำ หรือที่สนับสนุน ซึ่งเรียกกันว่า เป็นความผิดหลักเท่านั้น ดังนั้นในการพิจารณาการกระทำความผิดตามมาตรานี้ และมาตรา 86 จึงเพ็งเล็งไปที่การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นจริง หรือความผิดหลักเป็นสำคัญ
  • ตามมาตรา 84 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หมายความว่า
    • คำว่า ถ้าความผิดมิได้กระทำลง หมายถึง ความผิดที่ใช้ให้ไปทำ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นจริง ๆ หรือความผิดหลัก ผู้ถูกใช้ยังไม่มีการกระทำความผิดนั้น ตั้งแต่ขั้นที่ถือว่าเป็นความผิดสำหรับความผิดนั้น ๆ ขึ้นไป ในความหมายเดียวกับคำว่า ความผิดใดเกิดขึ้น ตามมาตรา 83
    • คำว่า ไม่ว่าจะเป็นเพราะ หมายถึง การที่ความผิดยังไม่ได้กระทำนั้น ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็ไม่ถือว่ามีความแตกต่างกัน
    • คำว่า ผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด หมายถึง ตัวอย่างที่ให้ไว้ ในความหมายเดียวกับคำว่า หรือด้วยวิธีอื่นใด ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรก
    • คำว่า ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หมายถึง เมื่อยังไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นในความเป็นจริง ความเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำความผิดก็อาจจะยังไม่มี หรือมีไม่มากนัก จึงลดมาตราส่วนโทษให้แก่ผู้ใช้ให้กระทำความผิดจากระวางโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดที่ถูกใช้ให้ไปกระทำ หรือความผิดหลัก ส่วนผู้ถูกใช้ให้กระทำความผิด หรือผู้กระทำความผิดหลัก อาจต้องรับโทษตามมาตราอื่น แต่ไม่ได้บัญญัติไว้ในมาตรานี้
    • การรับโทษเพียง 1 ใน 3 นี้ หากเป็นการใช้ให้กระทำความผิดลหุโทษ ระวางโทษเพียง 1 ใน 3 นี้ก็จะต่ำกว่าระวางโทษที่เกิดจากการพยายามกระทำความผิดลหุโทษ ซึ่งมีระวางโทษ 2 ใน 3 ตามมาตรา 80 วรรคสอง แต่ตามมาตรา 105 บัญญัติให้ การพยายามกระทำความผิดลหุโทษไม่ต้องรับโทษ แสดงว่าสำหรับความผิดลหุโทษ ซึ่งเป็นความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงมากนัก กฎหมายมีความประสงค์จะลงโทษผู้กระทำความผิดลหุโทษเฉพาะที่เป็นความผิดสำเร็จเท่านั้น ดังนั้น การใช้ให้กระทำความผิดลหุโทษ ซึ่งยังไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นตามวรรคสองนี้ ผู้ใช้ให้กระทำความผิดลหุโทษดังกล่าวจึงไม่ต้องรับโทษ 1 ใน 3 ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสองนี้ด้วย
    • โดยปกติเมื่อยังไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ก็ย่อมไม่มีผู้ที่ได้รับความเสียหายอย่างชัดเจนด้วย ดังนั้นก็ย่อมไม่มีผู้เสียหายที่จะเข้าแจ้งความร้องทุกข์เช่นเดียวกัน ทำให้ไม่มีการสืบสวนสอบสวนเป็นคดีขึ้น เว้นแต่จะเกิดการไม่ไว้วางใจกันระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ถึงจะทำให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบเหตุที่มีการใช้ให้กระทำความผิด แต่ยังไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นนี้ หรือผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันถูกจับกุมในคดีอื่น แล้วมีการขยายผลมาจนทราบเหตุที่มีการใช้ให้กระทำความผิด แต่ยังไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นนี้ได้
  • ตามมาตรา 84 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ และถ้าผู้ถูกใช้เป็นบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี ผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ ลูกจ้างหรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใช้ ผู้ที่มีฐานะยากจน หรือผู้ต้องพึ่งพาผู้ใช้เพราะเหตุเจ็บป่วยหรือไม่ว่าทางใด ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้ใช้กึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับผู้นั้น หมายความว่า
    • คำว่า ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น หมายถึง มีการกระทำความผิดที่ถูกใช้ หรือความผิดหลักขึ้นในความเป็นจริงแล้ว ในความหมายเดียวกับคำว่า ความผิดใดเกิดขึ้น ตามมาตรา 83
    • คำว่า ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ หมายถึง ผู้ใช้ให้กระทำความผิดต้องรับโทษเท่ากับเป็นตัวการด้วยคนหนึ่ง แม้ว่าผู้ใช้ให้กระทำความผิดจะไม่ได้เป็นตัวการจริง ๆ ด้วยก็ตาม
      • นอกจากนี้ยังมีความหมายอีกว่า ถ้าผู้ใช้ไม่สามารถเป็นตัวการได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่อยู่ในความหมายตามที่บัญญัติไว้ในองค์ประกอบของความผิดนั้น ๆ เช่น ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบต่าง ๆ แต่ผู้ใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิด ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานด้วย ดังนี้ผู้ใช้ให้กระทำความผิดย่อมไม่สามารถเป็นตัวการในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบต่าง ๆ นั้นได้ เพราะไม่ครบองค์ประกอบของความผิด ผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิด ตามมาตรา 86 เท่านั้น เพราะการใช้ก็ถือได้ว่าเป็นการสนับสนุนอย่างหนึ่งนั่นเอง
      • อย่างไรก็ตาม หากมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และผู้ก่อให้กระทำความผิดได้มาอยู่ในสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิด และในเวลาที่เกิดการกระทำความผิดขึ้นนั้นด้วย ดังนี้ผู้ก่อให้กระทำความผิดดังกล่าว ย่อมถือเป็นตัวการด้วยผู้หนึ่ง การก่อให้กระทำความผิดในกรณีนี้ จะไม่ใช่การก่อให้ผู้อื่นการกระทำความผิดตามมาตรานี้อีกต่อไป ผู้ก่อให้กระทำความผิดจะกลายเป็นผู้ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือผู้กระทำความผิดหลักด้วยผู้หนึ่ง อันมีลักษณะเป็น การร่วมมือในการกระทำความผิดอย่างหนึ่ง ในกรณีนี้ผู้ก่อให้กระทำความผิดนั้น จะไม่ใช่ผู้ใช้ให้กระทำความผิดที่ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรานี้แต่อย่างใด แต่จะเป็นตัวการจริง ๆ ตามมาตรา 83
    • คำว่า ถ้าผู้ถูกใช้เป็นบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี ผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ ลูกจ้างหรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใช้ ผู้ที่มีฐานะยากจน หรือผู้ต้องพึ่งพาผู้ใช้เพราะเหตุเจ็บป่วยหรือไม่ว่าทางใด หมายถึง ผู้ที่อยู่ในฐานะที่อาจจะต้องยอมกระทำความผิดตามที่มีการใช้ เพราะอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ หรือไม่มีทางเลือก หรือต้องพึ่งพาผู้ใช้ให้กระทำความผิด จึงทำให้ต้องตกเป็นผู้กระทำความผิดเพราะความจำเป็นในชีวิต เป็นการให้ความคุ้มครองบุคคลดังกล่าวไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ บุคคลที่ระบุเป็นเพียงการให้ตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังอาจมีบุคคลในลักษณะดังกล่าวเพิ่มเติมมากกว่านี้ก็ได้ อยู่ในความหมายของคำว่า ไม่ว่าในทางใด
    • คำว่า ให้เพิ่มโทษที่จะลง หมายถึง เพิ่มโทษที่ศาลวางโทษไว้ในคำพิพากษาสำหรับผู้ใช้กระทำความผิดนั้น ไม่ใช่เพิ่มจากโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
    • คำว่า แก่ผู้ใช้กึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับผู้นั้น หมายถึง เพิ่มโทษขึ้นอีก ครึ่งหนึ่ง ของโทษที่ศาลวางโทษไว้ในคำพิพากษาสำหรับผู้ใช้กระทำความผิดนั้น

3. ผู้สนับสนุน

มาตราสำคัญ

86

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา 86 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น หมายความว่า
    • คำว่า ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ หมายถึง การกระทำตามโครงสร้างความรับผิดในทางอาญา คือ มีการคิด ตกลงใจ และกระทำตามที่คิด ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกายก็ตาม
      • นอกจากนี้คำว่า ด้วยประการใด ๆ ยังแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของการกระทำตามมาตรานี้ว่า ไม่ได้จำกัดอยู่ว่า การกระทำนั้นจะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกตามที่กล่าวถึงต่อไปหรือไม่ การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกเป็นเพียงผลของการกระทำ ไม่ใช่ขอบเขตของการกระทำตามองค์ประกอบข้อนี้ ดังนั้นการกระทำทุกอย่าง รวมทั้งการร่วมกระทำความผิด แต่ผู้ร่วมกระทำไม่สามารถเป็นตัวการได้ และผู้ใช้ที่ไม่สามารถเป็นต้วการได้ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การร่วมกระทำความผิด และการใช้ให้กระทำความผิดดังกล่าว ก็อยู่ในความหมายของคำว่า ด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น
      • เช่นเดียวกับการใช้ให้กระทำความผิด แม้การกระทำตามมาตรานี้จะถือเป็นความผิดต้องรับโทษด้วยเช่นเดียวกัน แต่การรับโทษของผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนถือเป็นการรับโทษในลำดับรอง ที่เกี่ยวเนื่องมาจากการกระทำความผิดที่ก่อให้กระทำ หรือที่สนับสนุนเท่านั้น ทั้งการเป็นผู้ใช้หรือเป็นผู้สนับสนุนก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดในตัวเอง เหมือนความผิดตามภาค 2 และ 3 แต่อย่างใด นอกจากนี้ตามความเป็นจริงแล้ว คงมีความผิดที่เกิดขึ้นจริง ๆ เพียงความผิดที่ก่อให้กระทำ หรือที่สนับสนุน ซึ่งเรียกกันว่า เป็นความผิดหลักเท่านั้น ดังนั้นในการพิจารณาการกระทำความผิดตามมาตรานี้ และมาตรา 84 จึงเพ็งเล็งไปที่การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นจริง หรือความผิดหลักเป็นสำคัญ
    • คำว่า อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก หมายถึง การกระทำตามมาตรานี้จะต้องมีผลเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิดในการเข้ากระทำความผิดหลักได้ ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใด ๆ หรือไม่ว่าจะมีผลมากน้อยเพียงใด ก็อยู่ในความหมายนี้ทั้งสิ้น
    • คำว่า ในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด หมายถึง จุดมุ่งหมาย หรือความประสงค์ ของการกระทำตามมาตรานี้
      • ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของผลการกระทำตามมาตรานี้ กับการกระทำความผิดที่สนับสนุน หรือที่เกิดขึ้นจริง หรือความผิดหลัก แต่มีข้อแตกต่างจากการเป็นตัวการตามมาตรา 83 เพราะการสนับสนุนตามมาตรานี้ คงมีการเชื่อมโยงเฉพาะผลการกระทำเท่านั้น แต่ไม่ถึงขนาดเป็นการร่วมมือกับผู้กระทำความผิด หรือมีการเชื่อมโยงของการกระทำแต่อย่างใด และผู้สนับสนุนตามมาตรานี้ ก็ไม่มีการร่วมใจ หรือมีการร่วมเจตนากับผู้กระทำความผิดหลักด้วย เพราะหากมีการร่วมมือ และร่วมใจกับผู้กระทำความผิดหลักแล้ว การกระทำตามมาตรานี้จะกลายเป็นการร่วมกระทำความผิดตามมาตรา 83 ทันที
      • ในทางกลับกัน หากไม่มีการเชื่อมโยงของผลการกระทำตามมาตรานี้ กับการกระทำความผิดหลักแล้ว การกระทำตามมาตรานี้ ก็จะไม่เป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดหลัก แต่จะกลายเป็นความผิดที่เกิดขึ้นอีกส่วนหนึ่ง แยกต่างหากจากการกระทำความผิดหลัก
      • ทั้งการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นนั้น ก็จะต้องเป็นการกระทำความผิดโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลด้วยเท่านั้น
      • การกระทำโดยประมาท เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยผู้กระทำความผิดไม่ทันได้คาดคิด หรือทราบล่วงหน้า หรือมีการวางแผน หรือมีการตกลงกันมาก่อน เมื่อการสนับสนุนการกระทำความผิดจะต้องเป็นการสนับสนุนก่อนหรือขณะกระทำความผิด เมื่อไม่สามารถทราบได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดการกระทำโดยประมาทขึ้นหรือไม่ หรือจะเกิดขึ้นเมื่อใด จึงไม่สามารถที่จะสนับสนุนกระทำโดยประมาทนั้นล่วงหน้าก่อน หรือในขณะเกิดการกระทำโดยประมาทนั้นได้ ทั้งการกระทำโดยประมาทเป็นการกระทำที่ไม่ใช่โดยเจตนา ผู้สนับสนุนการกระทำความผิดจึงไม่สามารถที่จะช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิดโดยเจตนาตามความหมายในมาตรานี้ได้ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การกระทำโดยประมาท ไม่มีผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
    • คำว่า ก่อนหรือขณะกระทำความผิด หมายถึง การกระทำตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกที่เกิดขึ้นก่อน หรือในขณะที่เกิดการกระทำความผิดหลักเท่านั้น ถ้าเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกที่เกิดขึ้นหลังจากมีการกระทำความผิดหลักไปแล้ว หรือที่เรียกว่า การกระทำขาดตอนแล้ว การช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกที่เกิดขึ้นดังกล่าว จะเป็นความผิดที่เกิดขึ้นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่การสนับสนุนการกระทำความผิดตามมาตรานี้
    • คำว่า แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม หมายถึง ไม่ต้องนำเรื่องการรับรู้ของผู้กระทำความผิดหลัก ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกตามมาตรานี้มาประกอบการพิจารณาด้วย คือ ไม่ว่าผู้กระทำความผิดหลักจะได้รู้ หรือไม่รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกตามมาตรานี้ การกระทำตามมาตรานี้จะเป็นการสนับสนุนหรือไม่ ก็คงพิจารณาแต่เฉพาะจากการกระทำของผู้สนับสนุนเท่านั้น ไม่นำเรื่องการรับรู้ในส่วนของผู้กระทำความผิดหลักมาพิจารณาประกอบด้วย
    • คำว่า ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด หมายถึง เป็นผู้กระทำความผิดหลายคนในลักษณะผู้สนับสนุนในกระทำความผิดหลัก คือ เป็นผู้ช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นในการกระทำความผิด องค์ประกอบข้อนี้ เป็นชื่อเรียกที่ถูกต้องของผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดของผู้อื่น แต่เรามักจะเรียกสั้น ๆ ว่า ผู้สนับสนุน ก็ถือว่าสามารถใช้เรียกแทนชื่อที่ถูกต้องได้
    • คำว่า ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น หมายถึง การสนับสนุนการกระทำความผิดหลัก หรือการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง ตามปกติความเสียหายมักจะเกิดจากการกระทำความผิดหลักที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงเป็นสำคัญ การสนับสนุนการกระทำความผิดหลัก ไม่ได้มีส่วนขยายผลของความเสียหายที่เกิดจากการกระทำความผิดหลักให้มากขึ้นแต่อย่างใด การสนับสนุนเป็นแต่เพียงทำให้โอกาสของผู้กระทำความผิดหลักที่จะกระทำการจนเป็นความผิดสำเร็จได้มีมากขึ้นเท่านั้น จึงลดมาตราส่วนโทษให้แก่ผู้สนับสนุนการกระทำความผิด จากระวางโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดที่ถูกสนับสนุน หรือความผิดหลักเหลือเพียง 2 ใน 3 ส่วน เท่ากับการพยายามกระทำความผิดตามมาตรา 80
    • นอกจากนี้ หากมีการกระทำความผิดหลักเกิดขึ้น และผู้ช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิดนั้น ได้มาอยู่ในสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิด และในเวลาที่เกิดการกระทำความผิดขึ้นนั้นด้วย ดังนี้ผู้ช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิดนั้น ย่อมถือเป็นตัวการด้วยผู้หนึ่ง ในกรณีนี้การช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกดังกล่าว จะไม่ใช่การช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิดตามมาตรานี้อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นการพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้กระทำความผิดหลักได้ในทันที อันมีลักษณะเป็นการร่วมมือในการกระทำความผิดอย่างหนึ่ง ผู้ช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิดนั้น จึงเป็นตัวการ ตามมาตรา 83 ไม่ใช่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามมาตรานี้แต่อย่างใด
ณ ห้องว่างกลางหมู่ดาว กฎหมาย