มาตราสำคัญ
420 , 421 , 422 , 423 , 425 , 426 , 427 , 428 , 432 , 433 , 434 , 436 , 437 , 438 , 439 , 440 , 441 , 448 , 449 , 450 , 451
สาระสำคัญ
- ตามมาตรา 420 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น หมายความว่า
- คำว่า ผู้ใด หมายถึง บุคคลตามป.พ.พ. คือ บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด สมาคม มูลนิธิ กระทรวง ทบวง กรม วัด องค์กรต่าง ๆ ที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นนิติบุคคล กองทุนรวม
- คำว่า จงใจ หมายถึง ทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากกระทำการนั้น
- การรู้สำนึก ก็คือ รู้ถึงข้อเท็จจริงในการกระทำ คือ การเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนร่างกายของตน ว่ามีผลอย่างไร และรู้ถึงข้อเท็จจริงว่า การกระทำของตนเองนั้นจะเกิด หรือก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างไรบ้าง ซึ่งตามป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง ก็ให้ความหมายของคำว่า กระทำโดยเจตนา คือ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำเช่นเดียวกัน ดังนั้น เราจึงสามารถเทียบเคียงความหมายของคำว่า จงใจ ตามมาตรานี้ กับความหมายของคำว่า เจตนาในทางอาญา ตามป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง ได้
- ตามป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง เราสามารถแบ่งการกระทำออกเป็น 3 ประการ คือ
- 1. ประสงค์ต่อผล คือ ผู้กระทำรู้ข้อเท็จจริงว่า การกระทำของตนเป็นอย่างไร และรู้ว่าการกระทำของตนจะเกิดผลขึ้นอย่างใด และผู้กระทำมีความประสงค์ หรือมีความมุ่งหมายให้ผลนั้น เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง เช่น ผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินไปถูกผู้อื่นนั้น คือ การทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ทั้งผลที่เกิดขึ้น ก็คือ บาดแผล หรือความเจ็บปวดที่ผู้อื่นได้รับ และผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินเข้าไปในรถโดยสารที่มีผู้โดยสารอยู่นั้น ก้อนหินนั้นจะต้องถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่ง หรือหลายคนได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน และผู้กระทำก็ประสงค์หรือมีความมุ่งหมายให้ผู้อื่นได้รับบาดแผล หรือได้รับความเจ็บปวดจากการขว้างก้อนหินนั้น ผู้กระทำจึงขว้างก้อนหินเข้าไปในรถโดยสารคันดังกล่าว ทำให้ก้อนหินนั้นถูกผู้โดยสารคนหนึ่ง หรือหลายคนได้รับบาดเจ็บ
- 2. ย่อมเล็งเห็นผล คือ ผู้กระทำรู้ข้อเท็จจริงว่า การกระทำของตนเป็นอย่างไร และรู้ว่าการกระทำของตนจะเกิดผลขึ้นอย่างใดแน่นอน แต่ผู้กระทำไม่มีความประสงค์ หรือไม่มีความมุ่งหมายให้ผลนั้น เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง แต่ผู้กระทำก็ยังตัดสินใจที่จะกระทำการนั้น เช่น ผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินไปถูกผู้อื่นนั้น คือ การทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ทั้งผลที่เกิดขึ้น ก็คือ บาดแผล หรือความเจ็บปวดที่ผู้อื่นได้รับ และผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินเข้าไปในรถโดยสารที่มีผู้โดยสารหนาแน่น ก้อนหินนั้นจะต้องถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่ง หรือหลายคนได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน แต่ผู้กระทำก็ไม่ได้มีความประสงค์ หรือมีความมุ่งหมายให้ผู้โดยสารคนใดได้รับบาดเจ็บจากก้อนหินนั้น แต่ผู้กระทำก็ไม่ใส่ใจยังคงขว้างก้อนหินเข้าไปในรถโดยสารคันดังกล่าว ทำให้ก้อนหินนั้นถูกผู้โดยสารคนหนึ่ง หรือหลายคนได้รับบาดเจ็บ
- 3. ระดับที่ต่ำกว่าย่อมเล็งเห็นผล คือ ผู้กระทำรู้ข้อเท็จจริงว่า การกระทำของตนเป็นอย่างไร ทั้งรู้ว่าการกระทำของตนจะเกิดผลขึ้นอย่างใด แต่ผลที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ไม่แน่นอน แม้ผู้กระทำไม่มีความประสงค์ หรือไม่มีความมุ่งหมายให้ผลนั้น เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง แต่ผู้กระทำก็ยังตัดสินใจที่จะกระทำการนั้น เช่น ผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินไปถูกผู้อื่น คือ การทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ทั้งผลที่เกิดขึ้น ก็คือ บาดแผล หรือความเจ็บปวดที่ผู้อื่นจะได้รับ และผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินเข้าไปในรถโดยสารที่มีผู้โดยสารเพียงไม่กี่คน ก้อนหินนั้นอาจจะถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่ง หรืออาจจะไม่ถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่งก็ได้ แต่ผู้กระทำก็ไม่ได้มีความประสงค์ หรือมีความมุ่งหมายให้ผู้โดยสารคนใดได้รับบาดเจ็บจากก้อนหินนั้น แต่ผู้กระทำก็ไม่ใส่ใจยังคงขว้างก้อนหินเข้าไปในรถโดยสารคันดังกล่าว ทำให้ก้อนหินนั้นถูกผู้โดยสารคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
- ข้อแตกต่างระหว่างการกระทำในข้อ 2 และข้อ 3 คือ การกระทำในข้อ 2 ผลนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนการกระทำในข้อ 3 ผลนั้นอาจจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ไม่มีความแน่นอน
- ตามป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง คงถือเพียงการกระทำในข้อ 1 คือ ประสงค์ต่อผล และข้อ 2 คือ ย่อมเล็งเห็นผล เป็นการกระทำโดยเจตนาเท่านั้น ส่วนการกระทำข้อ 3 ไม่ถือเป็นการกระทำโดยเจตนาแต่อย่างใด แต่ถือเป็นการกระทำโดยประมาท
- การกระทำในข้อ 1 คือ ประสงค์ต่อผล และข้อ 2 คือ ย่อมเล็งเห็นผล ก็ถือเป็นการกระทำโดยจงใจ ตามความหมายในมาตรานี้ด้วย
- สำหรับการกระทำในข้อ 3 นี้ ผู้กระทำก็ยังถือว่า รู้สำนึก หรือรู้ข้อเท็จจริงในการกระทำของตนเองว่ามีผลอย่างไร และรู้ว่า การกระทำของตนเองนั้นจะเกิด หรือก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างไรอยู่ ดังนั้น การกระทำในข้อ 3 นี้ จึงถือเป็นการกระทำโดยจงใจ ตามความหมายในมาตรานี้เช่นกัน
- คำว่า ประมาทเลินเล่อ หมายถึง การกระทำที่ไม่ใช่โดยจงใจ แต่เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งผู้ทำละเมิดจะต้องมีตามวิสัย และพฤติการณ์ ทั้งผู้ทำละเมิดสามารถใช้ความระมัดระวังนั้นได้ แต่ไม่ได้ใช้ให้เพียงพอ และ
- ในความหมายนี้ การกระทำโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรานี้ จึงมีลักษณะเดียวกันกับการกระทำโดยประมาทตามป.อ. มาตรา 59 วรรคสี่
- ตามป.อ. มาตรา 59 วรรคสี่ ใช้คำว่า “ประมาท” เท่านั้น ส่วนตามมาตรานี้ใช้คำว่า “ประมาทเลินเล่อ” จึงต้องระมัดระวังในการใช้ถ้อยคำ หากเป็นการอ้างว่ากฎหมายบัญญัติไว้ว่าอย่างไร ไม่สามารถใช้แทนกันได้ แต่ถ้าเป็นการอธิบายความทั่วไปก็สามารถใช้แทนกันได้
- วิสัย คือ ความสำนึก หรือความมีสติ หรือความคิดได้ ในความระมัดระวังของบุคคลทั่วไป ในกรณีการกระทำโดยประมาทนี้ เราต้องนึกบุคคลที่จะยกขึ้นเปรียบเทียบกับผู้กระทำไว้ในใจ ซึ่งบุคคลที่จะยกขึ้นเปรียบเทียบนี้จะต้องมีข้อเท็จจริงภายนอก หรืออัตวิสัย หรือ Subjective หรือสภาวะทางร่างกายเหมือนกับผู้กระทำทุกประการ เช่น เป็นเด็ก หรือเป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นคนเจ็บป่วย หรือเป็นคนชรา หรือเป็นคนพิการ เพียงแต่อย่างเดียวที่ต้องใช้ระดับ หรือภาวะวิสัยของคนทั่วไป ไม่ใช่ของผู้กระทำ ก็คือ ความระมัดระวัง เท่านั้น และไม่ใช่ยกบุคคลที่เป็นคนทั่วไปขึ้นเปรียบเทียบกับผู้กระทำด้วย เช่น ผู้กระทำเป็นเด็ก แต่ยกบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเปรียบเทียบ ไม่ได้
- พฤติการณ์ คือ สภาพแวดล้อมภายนอก หรือภาวะวิสัย หรือ Objective เช่น ในขณะที่ฝนตก หรือในขณะที่ฝนไม่ตก หรือเป็นเวลากลางวัน หรือเป็นเวลากลางคืน หรือในขณะที่ถนนลื่น หรือในขณะที่ถนนไม่ลื่น หรือในขณะที่มีรถยนต์พลุกพล่าน หรือในขณะที่มีรถยนต์น้อย หรือเป็นถนนสายสำคัญระหว่างภาค หรือเป็นเพียงถนนภายในหมู่บ้าน หรือภายในบ้าน หรือภายในสถานที่ราชการ หรือในสวนสาธารณะ หรือในป่า
- ตามป.อ. มาตรา 59 วรรคสี่ เราสามารถแบ่งการกระทำออกเป็น 2 ระดับ คือ
- A. ประมาทอย่างร้ายแรง คือ ผู้กระทำรู้ข้อเท็จจริงว่า การกระทำของตนเป็นอย่างไร ทั้งรู้ว่าการกระทำของตนจะเกิดผลขึ้นอย่างใด แต่ผลที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ไม่แน่นอน แม้ผู้กระทำไม่มีความประสงค์ หรือไม่มีความมุ่งหมายให้ผลนั้น เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง แต่ตามวิสัย และตามพฤติการณ์ ผู้กระทำไม่ควรทำเช่นนั้น แต่ผู้กระทำก็ยังไม่ใส่ใจ ยังกระทำการไปเช่นนั้น เช่น ผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินไปถูกผู้อื่น คือ การทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ทั้งผลที่เกิดขึ้น ก็คือ บาดแผล หรือความเจ็บปวดที่ผู้อื่นจะได้รับ และผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งในขณะที่มีรถโดยสารกำลังวิ่งผ่านมา อาจทำให้ก้อนหินที่ขว้างถูกรถโดยสารที่มีผู้โดยสารอยู่ หรือเข้าไปภายในตัวรถ อาจถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่ง หรืออาจจะไม่ถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่งก็ได้ หรืออาจไม่ถูกรถโดยสารที่กำลังวิ่งผ่านมาก็ได้ แต่ผู้กระทำก็ไม่ได้มีความประสงค์ หรือมีความมุ่งหมายให้ผู้โดยสารคนใดได้รับบาดเจ็บจากก้อนหินนั้น แต่ผู้กระทำก็ไม่ใส่ใจยังคงขว้างก้อนหินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งในขณะที่มีรถโดยสารกำลังวิ่งผ่านมา ทำให้ก้อนหินที่ขว้างเข้าไปภายในรถโดยสารคันดังกล่าว และถูกผู้โดยสารคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
- B. ประมาท คือ ผู้กระทำไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า การกระทำของตนจะเกิดผลขึ้นอย่างใด และผลที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ไม่แน่นอน แม้ผู้กระทำไม่มีความประสงค์ หรือไม่มีความมุ่งหมายให้ผลนั้น เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง แต่ตามวิสัย และตามพฤติการณ์ ผู้กระทำไม่ควรทำเช่นนั้น แต่ผู้กระทำก็ยังกระทำการไปเช่นนั้น เช่น ผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินไปถูกผู้อื่น คือ การทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ทั้งผลที่เกิดขึ้น ก็คือ บาดแผล หรือความเจ็บปวดที่ผู้อื่นจะได้รับ และผู้กระทำทราบว่าการขว้างก้อนหินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งอาจมีรถโดยสารวิ่งผ่านมา อาจทำให้ก้อนหินที่ขว้างถูกรถโดยสารที่มีผู้โดยสารอยู่ หรือเข้าไปภายในตัวรถ อาจถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่ง หรืออาจจะไม่ถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่งก็ได้ หรืออาจไม่ถูกรถโดยสารที่วิ่งผ่านมาก็ได้ แต่ผู้กระทำก็ไม่ได้มีความประสงค์ หรือมีความมุ่งหมายให้ผู้โดยสารคนใดได้รับบาดเจ็บจากก้อนหินนั้น ในขณะขว้างก้อนหินผู้กระทำไม่เห็นรถโดยสารที่กำลังวิ่งผ่านมา ผู้กระทำจึงขว้างก้อนหินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งในขณะที่มีรถโดยสารกำลังวิ่งผ่านมา ทำให้ก้อนหินที่ขว้างเข้าไปภายในรถโดยสารคันดังกล่าว และถูกผู้โดยสารคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
- ข้อแตกต่างระหว่างการกระทำระดับที่ต่ำกว่าย่อมเล็งเห็นผลในข้อ 3 กับการกระทำโดยประมาทอย่างร้ายแรงในข้อ A คือ ในข้อ 3 แม้ผู้กระทำไม่ได้มีความประสงค์ หรือมีความมุ่งหมายให้ผู้โดยสารคนใดได้รับบาดเจ็บจากก้อนหินนั้น และก้อนหินนั้นอาจจะถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่ง หรืออาจจะไม่ถูกผู้โดยสารคนใดคนหนึ่งก็ได้แต่ผู้กระทำก็ยังอยากที่จะขว้างก้อนหินใส่รถโดยสารนั้น ส่วนในข้อ A ผู้กระทำไม่อยากที่จะขว้างก้อนหินใส่รถโดยสารนั้น และได้ขว้างก้อนหินไปทางอื่นแล้ว
- ข้อแตกต่างระหว่างการกระทำโดยประมาทอย่างร้ายแรงในข้อ A กับการกระทำโดยประมาทในข้อ B คือ ในข้อ A ผู้กระทำเห็นรถโดยสารที่กำลังวิ่งผ่านมาแล้ว แต่ผู้กระทำคิดว่า ก้อนหินที่ขว้างนั้นอาจไม่ถูกรถโดยสารคันดังกล่าว ส่วนในข้อ B ผู้กระทำไม่เห็นรถโดยสารที่กำลังวิ่งผ่านมา
- แต่ทั้งสามข้อ คือ ข้อ 3 ข้อ A และข้อ B ตามป.อ. มาตรา 59 วรรคสี่ ถือเป็นการกระทำโดยประมาททั้งสามข้อ ตามป.อ. ไม่มีการแบ่งแยกการกระทำโดยประมาท กับการกระทำโดยประมาทอย่างร้ายแรง
- และตามมาตรานี้ ก็ไม่ได้แบ่งแยกการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ กับการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเช่นเดียวกัน
- แต่ตามมาตรา 879 มีการพิจารณาเรื่องประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงด้วย ซึ่งทำให้ผู้ประกัยภัยไม่ต้องรับผิดในความวินาศภัยที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นความประมาทเลินเล่อ ผู้ประกันภัยยังคงต้องรับผิดในความวินาศภัยที่เกิดขึ้นอยู่ เช่น ผู้กระทำสูบบุหรี่ในปั๊มน้ำมัน ซึ่งผู้กระทำรู้อยู่แล้วว่า ผู้กระทำกำลังสูบบุหรี่อยู่ในปั๊มน้ำมัน และการสูบบุหรี่ในปั๊มน้ำมันอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ แต่ผู้กระทำก็ไม่ใส่ใจยังคงสูบบุหรี่ในปั๊มน้ำมัน จนทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น กรณีนี้ถือว่าผู้กระทำประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แตกต่างจากการที่ผู้กระทำสูบบุหรี่ แต่ไม่รู้ว่าบริเวณดังกล่าวเป็นปั๊มน้ำมัน ผู้กระทำจึงได้สูบบุหรี่ และทำให้เกิดเพลิงไหม้ กรณีนี้ถือว่าผู้กระทำประมาทเลินเล่อ เท่านั้น
- ตามมาตรา 441 มีการบัญญัติถึงความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพื่อยกเว้นมิให้การชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ครองทรัพย์เป็นอันหลุดพ้นไปเท่านั้น แต่มิใช่เพื่อให้การทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นการทำละเมิด หรือไม่เป็นการทำละเมิดแต่อย่างใด
- มีข้อที่แตกต่างกันระหว่างการกระทำโดยประมาท ตามป.อ. มาตรา 59 วรรคสี่ กับการกระทำโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรานี้ คือ การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ไม่เป็นความผิดตามป.อ. แต่การกระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ถือเป็นการทำละเมิด ตามความหมายในมาตรานี้
- การพยายามกระทำโดยจงใจ หรือการพยายามกระทำโดยประมาท ตามมาตรานี้ หรือในลักษณะละเมิดไม่มีบทบัญญัติเรื่อง การพยายามกระทำละเมิด มีแต่บัญญัติว่า การกระทำใดเป็นละเมิด หรือไม่เป็นละเมิดเท่านั้น แม้ว่าตามป.อ. มาตรา 80 การพยายามกระทำความผิดโดยเจตนาจะถือเป็นความผิด และการกระทำโดยประมาทไม่มีการพยายามกระทำความผิดก็ตาม
- คำว่า ทำต่อบุคคลอื่น หมายถึง มีการทำละเมิดต่อผู้อื่น ผู้อื่น คือ บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ผู้ใด
- คำว่า โดยผิดกฎหมาย หมายถึง โดยไม่มีกฎหมายให้ทำได้ หรือไม่มีกฎหมายห้ามไว้ แต่การกระทำนั้นเป็นการรบกวนสิทธิของบุคคลอื่น หรือมีกฎหมายห้ามไว้โดยชัดแจ้ง
- ในทางแพ่ง มีหลักว่า เมื่อไม่มีกฎหมายห้าม ให้ถือว่าทำได้ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 5 ประการ คือ
- 1. มีกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ และการกระทำนั้นไม่เป็นการรบกวนสิทธิของบุคคลอื่น บุคคลย่อมสามารถกระทำการนั้นได้ เช่น การทำนิติกรรมตามมาตรา 149 หรือผู้ที่จับสัตว์ป่าได้ในที่รกร้างว่างเปล่า หรือในที่สาธารณะ ผู้ที่จับสัตว์ป่าได้ย่อมเป็นเจ้าของสัตว์ ตามมาตรา 1321
- 2. มีกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ แต่การกระทำนั้นเป็นการรบกวนสิทธิของบุคคลอื่น บุคคลย่อมสามารถกระทำการนั้นได้ เช่น เจ้าของที่ดินสามารถตัดรากไม้ซึ่งรุกเข้ามาจากที่ดินข้างเคียงและเอาไว้ได้ ตามมาตรา 1347 หรือเจ้าของที่ดินแปลงที่ถูกล้อมอยู่ ย่อมสามารถจะผ่านที่ดินแปลงที่ล้อมอยู่นั้น ออกไปสู่ทางสาธารณะได้ ตามมาตรา 1349 วรรคหนึ่ง
- 3. ไม่มีกฎหมายห้าม และการกระทำนั้นไม่เป็นการรบกวนสิทธิของบุคคลอื่น บุคคลย่อมสามารถกระทำการนั้นได้ เช่น ในการคืนทรัพย์ฝากไว้ คู่สัญญาจะตกลงกันให้ผู้รับฝากเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย แตกต่างจากมาตรา 667 ก็ได้
- 4. ไม่มีกฎหมายห้าม แต่การกระทำนั้นเป็นการรบกวนสิทธิของบุคคลอื่น บุคคลย่อมไม่สามารถกระทำการนั้นได้ เช่น เจ้าของร้านค้าจะลดราคาสินค้าในร้านของตนเองลงเพียงใด ไม่มีกฎหมายห้ามทำเช่นนั้น แต่ถ้าเจ้าของร้านค้าลดราคาสินค้าในร้านของตนเองลงเพื่อให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าที่ร้านของตน ไม่ไปซื้อสินค้าที่ร้านค้าข้างเคียง ย่อมเป็นการรบกวนสิทธิในการประกอบอาชีพของเจ้าของร้านค้าข้างเคียงแล้ว ดังนี้ เจ้าของร้านค้านั้นจะลดราคาสินค้าลงเช่นนั้นไม่ได้
- 5. มีกฎหมายห้ามทำเช่นนั้น หรือมีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดแล้ว บุคคลย่อมไม่สามารถกระทำการนั้นได้ เช่น ตามมาตรา 1341 ห้ามเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทำหลังคาหรือการปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งทำให้น้ำฝนตกลงทรัพย์สินซึ่อยู่ติดต่อกัน หรือตามป.อ. มาตรา 295 บัญญัติว่า ผู้ใดทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
- การกระทำในข้อ 4 และข้อ 5 ถือเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย ตามความหมายในมาตรานี้
- การกระทำความผิดทางอาญา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- 1. การกระทำความผิดที่รัฐ เป็นผู้เสียหาย เช่น การทำให้เกิดความเสียหายแก่สถานที่ราชการซึ่งเป็นทรัพย์ที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ ตามป.อ. มาตรา 360 หรือการก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 54
- 2. การกระทำความผิดที่เอกชน เป็นผู้เสียหาย เช่น การทำร้ายร่างกาย ตามป.อ. มาตรา 295 หรือการลักทรัพย์ ตามป.อ. มาตรา 334
- 3. การกระทำความผิดที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม เช่น การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองเฮโรอีน โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง หรือการอนุญาตจัดให้มี หรือเข้าเล่น หรือเข้าพนัน ตามบัญชี ก. เช่น ไพ่สามใบ ไฮโลว์ โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.การพนันฯ มาตรา 4
- การกระทำความผิดทางอาญาในข้อ 1 และข้อ 2 เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายตามมาตรานี้ เพราะมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น จึงเป็นหนี้ที่ผู้ทำละเมิดจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438
- แต่การกระทำความผิดทางอาญาในข้อ 3 ไม่เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย ตามความหมายในมาตรานี้ เพราะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ใดโดยแน่ชัด แต่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ความสงบสุขของสังคม คือ สาธารณชน แม้จะถือว่ารัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย แต่รัฐก็เป็นผู้เสียหายแทนสังคมเท่านั้น ไม่ถือว่าสังคมเป็นผู้อื่น ตามความหมายในมาตรานี้
- ในปัจจุบัน คดีแพ่งที่เป็นมูลหนี้ ซึ่งมาสู่ศาล มี 2 ประเภท เท่านั้น คือ คดีนิติกรรมสัญญา กับคดีละเมิด
- สำหรับลาภมิควรได้ แม้เป็นมูลหนี้อย่างหนึ่งตามป.พ.พ. แต่ก็ไม่มีการฟ้องแยกเป็นคดีประเภทหนึ่งต่างหาก แต่คงใช้บทบัญญัติของลาภมิควรได้ เป็นเพียงวิธีการคืนทรัพย์อย่างหนึ่งในคดีนิติกรรมสัญญาเท่านั้น
- สำหรับจัดการงานนอกสั่ง ไม่เคยปรากฏว่า มีการฟ้องเกี่ยวกับมูลหนี้นี้มาเลยตั้งแต่มีป.พ.พ. เนื่องจากเรายังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับมูลหนี้ประเภทนี้อย่างชัดเจน
- ในทางแพ่ง มีหลักว่า เมื่อไม่มีกฎหมายห้าม ให้ถือว่าทำได้ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 5 ประการ คือ
- คำว่า โดยผิดกฎหมาย ตามมาตรานี้ ทำให้เราสามารถแยกการทำละเมิด ตามมาตรานี้ ออกจากการทำนิติกรรมสัญญา ตามมาตรา 149 ได้โดยแน่ชัด คือ
- การทำละเมิด เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย แต่
- การทำนิติกรรมสัญญา เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้หมายถึงว่า ต้องมีการปฏิบัติตามสัญญาทุกประการ จึงจะถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย การทำนิติกรรมสัญญาแล้วต่อมามีการผิดสัญญา ก็ยังถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ เพราะการนิติกรรมสัญญา คู่สัญญาย่อมต้องมีการชำระหนี้แก่กันตามที่กฎหมายบัญญัติ การผิดสัญญาก็ต้องมีการบังคับชำระหนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติเช่นกัน ซึ่งก็ถือเป็นการชำระหนี้อย่างหนึ่งนั่นเอง
- คำว่า ให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี หมายถึง ทำให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย แก่
- ชีวิต คือ เสียชีวิต
- อนามัย คือ เจ็บป่วย
- เสรีภาพ คือ ทำให้ไม่สามารถทำในสิ่งที่คิดได้ เช่น เอาตัวเขามากักขังไว้ ทำให้เขาเดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้ หรือข่มขู่เขาทำให้เขาเข้าประมูลงานไม่ได้
- ทรัพย์สิน เช่น ทุบ หรือทำลายทรัพย์สินให้ใช้การไม่ได้ หรือเอาทรัพย์สินเขาไปทิ้ง ทำให้เขาต้องเสียค่าซ่อม หรือต้องซื้อทรัพย์สินนั้นใหม่ รวมถึงการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินต่าง ๆ ด้วย เช่น สร้างกำแพงรั้วจนสูงปิดบังทัศนวิสัย ทำให้ที่ดินข้างเคียงไม่เห็นแสงสว่าง และบังทิศทางลม จนเจ้าของที่ดินข้างเคียงต้องติดเครื่องปรับอากาศ หรือเปิดหลอดไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินของตนได้อย่างเต็มที่
- สิทธิอย่างอื่น คือ แกล้งกล่าวหา ทำให้เขาต้องเสียสิทธิในการสมัครเข้ารับราชการ
- ชีวิต อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ปรากฏในมาตรานี้ เป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น บุคคลอื่นอาจมีความเสียหายในเรื่องอื่น ๆ อีกก็ได้ เช่น
- หน้าที่ เช่น เอาตัวเขามากักขังไว้ทำให้เขานำเงินค่าเชาซื้อ ซึ่งเป็นหน้าที่ตามสัญญามาชำระไม่ทันตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าซื้อ 2 งวด ติดกัน ทำให้เขาต้องถูกริบเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระมาแล้ว และทรัพย์สินที่เช่าซื้อต้องกลับคืนไปอยู่ในครอบครองของเจ้าของทรัพย์สิน หรือผู้ให้เช่าซื้อ
- ชื่อเสียง เช่น แกล้งบอกกล่าวว่าเขา เป็นคนชอบเล่นการพนัน หรือชอบผิดนัดไม่ชำระหนี้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้เขาเสียชื่อเสียงไม่สามารถกู้ยืมเงินมาใช้ในกืจการค้าได้
- อาชีพ เช่น แกล้งลดราคาสินค้าของตนมากกว่าร้านค้าข้างเคียง ทำให้ไม่มีลูกค้าไปซื้อสินค้า จนเขาต้องปิดกิจการร้านขายของ
- ทางทำมาหาได้ เช่น แกล้งกล่าวหาว่าเขาชอบผิดนัดไม่ชำระหนี้ ทำให้เขาไม่สามารถกู้ยืมเงินมาขยายกิจการเพื่อเพิ่มยอดขายอีกได้
- คำว่า ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด หมายถึง มีฐานะเป็นลูกหนี้ในมูลหนี้ ที่เรียกว่า มูลละเมิด โดยผู้ถูกทำละเมิด มีฐานะเป็นเจ้าหนี้
- ตามมาตรา 206 ผู้ทำละเมิดซึ่งมีฐานะเป็นลูกหนี้ในมูลละเมิดนี้ ถือว่าผิดนัด เลยทันที นับตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิด โดยผู้ถูกทำละเมิดซึ่งมีฐานะเจ้าหนี้ไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามให้ผู้ทำละเมิดชำระหนี้ก่อน ตามมาตรา 204
- คำว่า จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น หมายถึง ผู้ทำละเมิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ในเหตุละเมิดนั้นให้แก่ผู้ถูกทำละเมิด เมื่อผู้ถูกทำละเมิดทวงถาม หรือฟ้องให้ชำระหนี้
- ในอดีตการทำละเมิดไม่เป็นคดีประเภทหนึ่งแยกต่างหากอย่างในปัจจุบันนี้ เดิมคงมีการดำเนินคดีเป็นคดีแพ่ง คือ คดีนิติกรรมสัญญา กับการดำเนินคดีเป็นคดีอาญาเท่านั้น ละเมิดคงเป็นเพียงคำขอเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายในคดีอาญา ที่เรียกว่า อาญาสินไหม เท่านั้น
- อาญาสินไหม ไม่ใช่คดีประเภทหนึ่งที่มีการดำเนินคดีแยกต่างหากจากคดีอาญา คงมีสภาพเป็นเพียง คำขอข้อหนึ่งในคดีอาญาที่มีการดำเนินคดีกันเท่านั้น คดีอาญาที่มีการขอค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายในคดีอาญามาด้วย ก็จะเรียกคดีอาญาประเภทนี้ว่า อาญาสินไหม ส่วนคดีอาญาที่ไม่มีการขอค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายในคดีอาญามาด้วย ก็เรียกว่า คดีอาญา เท่านั้น
- ต่อมาจึงมีการแยก คำขอค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายในคดีอาญา ออกมาดำเนินการในทางแพ่งต่างหากจากคดีอาญา เนื่องจากการกระทำบางอย่างแม้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ก็ไม่เป็นความผิดในทางอาญา เช่น การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ไม่เป็นความผิดตามป.อ. หรือการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ก็ไม่เป็นความผิดตามป.อ. เช่นเดียวกัน จึงมีการดำเนินคดีแก่การกระทำในลักษณะดังกล่าวเป็นคดีละเมิดอย่างในปัจจุบันนี้
- เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการ One stop service ในปัจจุบันตามป.วิ.อ. มาตรา 44/1 จึงบัญญัติให้ ผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องเข้ามาในคดีอาญาที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย คือ คดีที่มีการทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ หรือมีการทำให้เกิดความเสียหายทรัพย์สินเพื่อขอค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ได้ โดยไม่ต้องให้ผู้เสียหายไปยื่นฟ้องคดีละเมิดเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ทำให้ต้องเสียเวลาของคู่ความ และพยาน ทั้งยังทำให้ศาลต้องพิจารณาคดีละเมิดเพิ่มขึ้นจากคดีอาญาเป็นอีกคดีหนึ่ง เป็นเหตุให้มีการดำเนินคดีที่ซ้ำซ้อนกันด้วย
- ตามป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ทำให้คดีอาญาในปัจจุบัน กลับไปมีการดำเนินคดีอย่างคดีอาญาสินไหมเหมือนในอดีตอีก แต่คดีแพ่งในปัจจุบัน ก็ยังคงมีการดำเนินคดีละเมิดในกรณีอื่น ๆ อยู่
- ในอดีตการทำละเมิดไม่เป็นคดีประเภทหนึ่งแยกต่างหากอย่างในปัจจุบันนี้ เดิมคงมีการดำเนินคดีเป็นคดีแพ่ง คือ คดีนิติกรรมสัญญา กับการดำเนินคดีเป็นคดีอาญาเท่านั้น ละเมิดคงเป็นเพียงคำขอเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายในคดีอาญา ที่เรียกว่า อาญาสินไหม เท่านั้น
- ตามมาตรา 421 ที่บัญญัติว่า การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย หมายความว่า
- คำว่า การใช้สิทธิ หมายถึง เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครอง หรือสิทธิตามสัญญา หรือเสรีภาพในการพูด หรือเสรีภาพในการเดินทาง ที่มีอยู่แล้วของผู้ทำละเมิด
- คำว่า ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น หมายถึง เป็นการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประการ คือ
- 1. การใช้สิทธิเพื่อจะแกล้งบุคคลอื่นให้ได้รับความเสียหาย เช่น เจ้าของร้านค้าจะลดราคาสินค้าในร้านของตนเองลงเท่าใด ย่อมเป็นสิทธิในการประกอบอาชีพของตนที่จะทำเช่นนั้นได้ แต่ถ้าเจ้าของร้านค้าลดราคาสินค้าในร้านของตนเองลง ให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าที่ร้านของตน ไม่ไปซื้อสินค้าที่ร้านค้าข้างเคียง โดยมีความประสงค์ที่จะแกล้งเจ้าของร้านข้างเคียงให้ต้องปิดกิจการ เป็นเหตุให้เจ้าของร้านข้างเคียงได้รับความเสียหายต้องเสียรายได้ การกระทำของเจ้าของร้านค้าจึงเป็นการใช้สิทธิเพื่อจะแกล้งบุคคลอื่นให้ได้รับความเสียหาย เป็นการกระทำตามความหมายของมาตรานี้
- 2. การใช้สิทธิเกินส่วน คือ การที่ผู้กระทำไม่ได้ใส่ใจว่า การใช้สิทธิของตนนั้น จะทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายอย่างใด หรือไม่ แต่ผู้กระทำก็ไม่มีเจตนาที่จะแกล้งบุคคลใดด้วย เช่น เจ้าของที่ดินสร้างกำแพงรั้วจนสูงปิดบังทัศนวิสัย ทำให้ที่ดินข้างเคียงไม่เห็นแสงสว่าง และบังทิศทางลม จนเจ้าของที่ดินข้างเคียงต้องติดเครื่องปรับอากาศ หรือเปิดหลอดไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา เสียค่าไฟฟ้าแต่ละเดือนเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้เจ้าของที่ดินจะไม่มีเจตนาที่จะสร้างกำแพงรั้วจนสูงเพื่อแกล้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงก็ตาม แต่การกระทำของเจ้าของที่ดินเป็นการใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินเกินส่วนจนกระทบสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดินของเจ้าของที่ดินข้างเคียง เป็นการกระทำตามความหมายของมาตรานี้
- คำว่า ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง เป็นการทำละเมิดต่อผู้อื่นและให้ถือว่าเป็นการใช้สิทธิที่ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
- มาตรานี้เป็นการทำละเมิดในอีกลักษณะหนึ่ง นอกเหนือไปจากมาตรา 420 เมื่อมีการใช้สิทธิเพื่อจะแกล้งบุคคลอื่น หรือมีการใช้สิทธิเกินส่วน และทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อผู้อื่นตามความหมายในมาตรานี้แล้ว ไม่จำต้องพิจารณาอีกว่า ผู้นั้นจะทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออีกหรือไม่
- ตั้งแต่มาตรา 421 ถึงมาตรา 437 เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการทำละเมิดในลักษณะต่าง ๆ ไม่ใช่มีเพียงมาตรา 420 ที่บัญญัติว่า การกระทำอย่างใดเป็นการทำละเมิด
- มาตรานี้ไม่ใช่เป็นเพียงบทขยายความของคำว่า โดยผิดกฎหมาย ตามมาตรา 420 แต่อย่างใด
- ตามมาตรา 422 ที่บัญญัติว่า ถ้าความเสียหายเกิดแต่การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายใดอันมีที่ประสงค์เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ ผู้ใดทำการฝ่าฝืนเช่นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด หมายความว่า
- คำว่า ถ้าความเสียหายเกิดแต่ หมายถึง มีความเสียหายเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น เนื่องมาจาก
- คำว่า การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายใด หมายถึง ผู้ทำละเมิดได้ทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ในกรณีรวมถึงกฎกระทรวง หรือประกาศที่ออกตามกฎหมายนั้น ๆ ด้วย
- ตามมาตรานี้ใช้คำว่า บทบังคับของกฎหมาย ไม่ได้ใช้คำว่า บทบัญญัติของกฎหมาย ดังนั้น ในการอ้างว่ามาตรานี้บัญญัติว่าอย่างไร ต้องระมัดระวังและใช้คำว่า บทบังคับ ไม่สามารถใช้คำว่า บทบัญญัติ แทนได้ แต่ถ้าเป็นการอธิบายความโดยทั่วไป ก็สามารถใช้คำว่า บทบัญญัติ แทนได้
- คำว่า อันมีที่ประสงค์เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ หมายถึง กฎหมายฉบับนั้น มีวัตถุประสงค์ หรือมีบทบัญญัติที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน หรือผู้อื่น ๆ ที่ต้องเข้ามากระทำการตามกฎหมายนั้น เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ หรือพ.ร.บ.การเดินอากาศฯ หรือพ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทยฯ หรือพ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- คำว่า ผู้ใดทำการฝ่าฝืนเช่นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด หมายถึง ผู้ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ หรือมีบทบัญญัติที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน หรือบุคคลอื่น ๆ ที่ต้องเข้ามากระทำการตามกฎหมายนั้น ๆ เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับบุคคลอื่นแล้ว ก็ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า ผู้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวนั้น เป็นผู้ทำละเมิด
- แต่มาตรานี้เป็นเพียงบทสันนิษฐานไม่เด็ดขาดเท่านั้น ไม่ใช่บทที่ให้ถือว่าเป็นเช่นนั้น อย่างมาตรา 421 ผู้กระทำจึงสามารถนำสืบหักล้างได้ว่า ไม่ได้กระทำการฝ่าฝืนตามที่มีการกล่าวอ้าง
- เมื่อตามมาตรานี้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวนั้น เป็นผู้ทำละเมิด ดังนั้น ผู้ทำการฝ่าฝืน หรือจำเลย จึงมีภาระการพิสูจน์ ตามป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ว่า ตนเองไม่ได้ทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายตามที่มีการกล่าวอ้าง
- แต่ผู้กระทำจะนำสืบว่า กฎหมายที่ผู้กระทำฝ่าฝืนนั้น ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ หรือมีบทบัญญัติที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน หรือบุคคลอื่น ๆ ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องการตีความกฎหมาย ถือเป็นข้อกฎหมายที่ศาลสามารถตีความได้เอง คู่ความไม่สามารถนำสืบในประเด็นดังกล่าวนี้ได้
- มาตรานี้ก็เป็นการทำละเมิดในอีกลักษณะหนึ่ง นอกเหนือไปจากมาตรา 420 เมื่อมีการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ หรือมีบทบัญญัติที่กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน หรือบุคคลอื่น ๆ และทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อผู้อื่นตามความหมายในมาตรานี้แล้ว ไม่จำต้องพิจารณาอีกว่า ผู้นั้นจะทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออีกหรือไม่
- ตามมาตรา 423 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้ หมายความว่า
- คำว่า ผู้ใด หมายถึง บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล มีความหมายเช่นเดียวกับมาตรา 420
- คำว่า กล่าว หมายถึง การพูด หรือการบอกกล่าว หรือการให้สัมภาษณ์ หรือการอภิปราย หรือการให้ข่าว หรือการถกเถียง หรือการโต้วาที หรือการแสดงความคิดเห็น หรือการปาฐกถา หรือการบรรยาย หรือการเล่าเรื่อง หรือการรายงานข่าว หรือการพูดคุยโทรศัพท์ หรือการตั้งวงสนทนา หรือการแสดงภาพยนต์ หรือการแสดงละคร เพื่อสื่อความเข้าใจให้แก่บุคคลอื่น ด้วยความหมายของถ้อยคำที่พูด
- คำว่า ไข หมายถึง แสดงออกให้คนอื่นรับรู้
- คำว่า ข่าว หมายถึง ข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่ต้องการให้คนอื่นรับรู้
- คำว่า แพร่หลาย หมายถึง วิธีการทำให้ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวนั้นแพร่หลายหรือกระจายออกไปในวงกว้าง ไม่ว่าด้วย
- การเขียนในลักษณะต่าง ๆ เช่น จดหมาย หรือจดหมายเวียน หรือหนังสือเวียน หรือบันทึก หรือบันทึกข้อความ หรือบทความ หรือข่าว หรือข้อความสั้น หรือข้อความย่อ หรือหนังสือ หรือคำกลอน หรือการแต่งเพลง หรือนิทาน หรือเรื่องสั้น
- การทำให้ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการเขียน หรือการพูดกันอยู่แล้วแพร่หลาย หรือกระจายออกไป เช่น การช่วยประกาศในสื่อต่าง ๆ หรือช่วยแสดงทางป้ายโฆษณา หรือ Billboard หรือป้ายคัทเอาท์ การช่วยพูดต่อ ๆ กันออกไป การช่วยประกาศในรถประจำทางต่าง ๆ หรือในห้างสรรพสินค้า หรือในร้านอาหาร หรือในผับ หรือในสนามกีฬาต่าง ๆ หรือการติดป้ายผ้าในที่ต่าง ๆ
- การส่งต่อข้อความ หรือการแชร์ข้อความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการเขียน หรือการพูดกันนั้น ด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ไลน์ หรือเฟชบุค หรืออินสตาแกรม หรือทวิสเตอร์
- การนำเสนอข่าวเกี่ยวกับข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการเขียน หรือการพูดกันนั้น เช่น การรายงานข่าวประจำวันที่เกิดขึ้นทางโทรทัศน์ หรือทางวิทยุ หรือทางอินเตอร์เน็ต
- การโพสต์ข้อความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการเขียน หรือการพูดกันนั้นในกระดานข่าวตามเว็บไซต์ต่าง ๆ
- คำว่า ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการเขียน หรือการพูดกันนั้น ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไม่ว่าในอดีต หรือปัจจุบัน
- ตามมาตรานี้ ไม่ได้ใช้คำว่า อันเป็นเท็จ คือ ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริงในอดีต หรือในปัจจุบันเท่านั้น เหมือนป.อ. มาตรา 137 คงใช้เพียงคำว่า อันฝ่าฝืนต่อความจริง ซึ่งมีความหมายที่ไม่ตรงกันเสียทีเดียว ดังนั้น ในการกล่าวอ้างว่ามาตรานี้บัญญัติว่าอย่างไร ไม่สามารถใช้คำว่า อันเป็นเท็จ แทนได้
- หากเป็นการกล่าว หรือแสดงข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ย่อมถือเป็นการคาดเดา ไม่สามารถบอกได้ว่า ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่กล่าว หรือไขข่าวนั้น ตรงหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่
- ถ้าการกล่าว หรือแสดงถึงข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น แต่ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวนั้นสามารถเชื่อมโยงกลับมาถึงปัจจุบัน และไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันแล้ว ก็ย่อมถือเป็นข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ตามความหมายในมาตรานี้ได้ เช่น กล่าวว่าอีก 3 เดือน เขาจะคลอดบุตร แสดงว่าในปัจจุบันเขากำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้ตั้งครรภ์ ย่อมเป็นการกล่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ตามความหมายในมาตรานี้
- คำว่า เป็นที่เสียหาย หมายถึง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
- คำว่า แก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี หมายถึง
- ชื่อเสียง คือ การได้รับการยอมรับ หรือได้รับการยกย่อง หรือได้รับการนับถือหรือได้รับการเชิดชูจากบุคคลอื่น หรือความมีหน้ามีตา หรือความมีศักดิ์ศรีของบุคคลในสังคม
- เกียรติคุณ คือ ผลงานหรือการกระทำของบุคคลที่ได้กระทำมา ซึ่งเป็นการเอื้อเฟื้อ หรือเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือสังคม เช่น การบริจาคทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือบุคคลอื่น หรือเพื่อช่วยเหลือสังคมเมื่อมีภัยพิบัติ หรือองค์กรทางศาสนา หรือองค์กรสาธาณประโยชน์อื่น ๆ อยู่เสมอ หรือการสอนหนังสือให้ความรู้แก่เยาวชน หรือประชาชนมาเป็นระยะเวลานาน หรือการรักษาพยาบาลให้แก่ประชาชนมาเป็นเวลานาน หรือช่วยเหลือทางราชการอยู้เสมอ
- แต่การทำงานที่ไม่มีความผิดพลาดมาเป็นระยะเวลานาน บางกรณีไม่ถือเป็นการทำคุณประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือสังคม เพราะการทำงานตามปกติ ย่อมต้องทำโดยไม่ให้เกิดความผิดพลาดอยู่แล้ว
- ทางทำมาหาได้ คือ การงานอาชีพ หรือการประกอบอาชีพ หรือช่องทางในการประกอบอาชีพ หรือช่องทางในการแสวงหารายได้ เช่น การขยายช่องทางในการจำหน่ายสินค้า หรือการเพิ่มชนิดของสินค้าในร้าน หรือในบริษัท หรือห้างสรรพสินค้า หรือการขยายธุรกิจ หรือการขยายสาขา
- ทางเจริญ คือ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือในอาชีพ เช่น การได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น
- โดยประการอื่น คือ ที่กล่าวอ้างมาเป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น ถ้าเขาต้องเสียหายไม่สามารถเจริญก้าวหน้าในชีวิต หรือในผลงาน หรือในประวัติการทำงาน หรือในการทำคุณความดี หรือในหน้าที่การงาน หรือในอาชีพอย่างอื่นอีก ก็อยู่ในความหมายของมาตรานี้เช่นกัน
- คำว่า ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น หมายถึง ผู้นั้นเป็นผู้ทำละเมิด ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 438 ให้แก่ผู้ถูกทำละเมิด
- มาตรานี้เป็นการทำละเมิดในอีกลักษณะหนึ่ง นอกเหนือไปจากมาตรา 420 เมื่อมีการกล่าวหรือไขข่าว ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อผู้อื่นตามความหมายในมาตรานี้แล้ว ไม่จำต้องพิจารณาอีกว่า ผู้นั้นจะทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออีกหรือไม่
- คำว่า แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้ หมายถึง การกล่าวหรือไขข่าว ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ผู้กล่าวหรือไขข่าวจะรู้หรือไม่รู้ว่า ข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่ตนกล่าวหรือไขข่าวนั้น ตรงหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ถ้าผู้กล่าวหรือไขข่าวนั้นสามารถที่จะรู้ หรือสามารถที่จะสอบถาม หรือสามารถที่จะค้นหาข้อมูลได้ว่า ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร แต่ตนเองก็ไม่ได้สอบถาม หรือไม่ได้ค้นหาข้อมูลนั้นมาให้ดีพอ ก่อนที่จะกล่าวหรือไขข่าว ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้น ผู้กล่าวหรือไขข่าวนั้นก็ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น
- คำว่า แต่หากควรจะรู้ได้ คือ การแสดงถึงภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบของผู้ถูกทำละเมิด หรือโจทก์ที่จะต้องนำสืบให้ศาลเห็นได้เช่นนั้นเสียก่อน จึงจะเข้าเงื่อนไขที่ผู้กล่าวหรือไขข่าวนั้นจะต้องรับผิด
- แต่การนำสืบว่า ผู้ทำละเมิดหรือจำเลยควรจะรู้ได้ดังกล่าว เป็นอัตวิสัย หรือ Subjective หรือความรู้สึกภายในของผู้ทำละเมิดหรือจำเลย ซึ่งบุคคลอื่นอาจไม่รู้ว่า ผู้ทำละเมิดหรือจำเลยรู้หรือไม่รู้อย่างไร เว้นแต่ผู้ทำละเมิดหรือจำเลยจะบอกออกมา แต่เราก็สามารถนำสืบในลักษณะเปรียบเทียบได้ว่า คนอื่น ๆ ที่ได้รู้ข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการกล่าวหรือไขข่าว ซึ่งมีภาวะวิสัย หรือ Objective เหมือนผู้ทำละเมิดหรือจำเลย เช่น อยู่ในชุมชนเดียวกัน หรือมีอาชีพเดียวกัน หรือมีความสามารถในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างเดียวกัน หรือมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน หรือรับรู้ข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการกล่าวหรือไขข่าวมาพร้อมกัน หรือจากที่เดียวกันกับผู้ทำละเมิดหรือจำเลย ยังสามารถทราบหรือรู้ได้ว่า ข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการกล่าวหรือไขข่าวนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้น ผู้ทำละเมิดหรือจำเลยย่อมควรจะทราบหรือรู้ได้ว่า ข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการกล่าวหรือไขข่าวนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
- และคำว่า ควรจะรู้ได้ ก็ไม่ได้หมายความถึงว่า ผู้ทำละเมิดหรือจำเลยรู้ว่า ข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่กล่าวหรือไขข่าวนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แค่ผู้ทำละเมิดหรือจำเลยสามารถที่จะรู้ หรือสามารถที่จะสอบถาม หรือสามารถที่จะค้นหาข้อมูลได้ ผู้ทำละเมิดหรือจำเลยก็ต้องรับผิดตามความหมายในมาตรานี้แล้ว
- ตามมาตรา 423 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หมายความว่า
- คำว่า ผู้ใด หมายถึง บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล มีความหมายเช่นเดียวกับมาตรา 420
- คำว่า ส่ง หมายถึง ส่งต่อ หรือทำให้แพร่หลาย หรือทำให้กระจายออกไปให้บุคคลอื่นรับรู้เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะทำโดยวิธีใด เช่น การส่งจดหมาย หรือการส่งหนังสือเวียน หรือการส่งบันทึกข้อความ หรือการพูดโทรศัพท์ หรือการพูดทาง Video call หรือการประชุมผ่าน Video conferrence หรือการส่ง Fax หรือการส่งทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น อีเมล์ หรือไลน์ หรือเฟชบุค หรือหรืออินสตาแกรม หรือทวิสเตอร์ หรือการพูดทางวิทยุสื่อสาร หรือการจัดประชุมสัมมนา มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ไขข่าวแพร่หลาย ตามวรรคหนึ่ง ในกรณีนี้ผู้ส่งข้อความตามวรรคสองนี้ จึงเป็นผู้ไขข่าว ตามวรรคหนึ่งด้วย
- คำว่า ข่าวสาร หมายถึง ข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่ต้องการให้คนอื่นรับรู้ มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ข่าว ตามความในวรรคหนึ่ง
- คำว่า อันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หมายถึง ผู้ส่งข้อความหรือผู้ไขข่าวนั้น ไม่ได้รู้ว่าข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่ตนเองส่งต่อไปให้ผู้อื่นนั้น ไม่ตรงต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
- ตามความในวรรคสองนี้ เป็นข้อที่ผู้ส่งข้อความหรือผู้ไขข่าวหรือจำเลย จะยกกล่าวอ้างเพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับผิดตามที่บัญญัติไว้วรรคหนึ่ง ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ถูกทำละเมิดหรือโจทก์จะต้องนำสืบว่า ผู้ส่งข้อความหรือผู้ไขข่าวหรือจำเลยรู้ว่า ข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่ตนเองส่งต่อไปให้ผู้อื่นนั้น ไม่ตรงต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ผู้ถูกทำละเมิดหรือโจทก์คงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามวรรคหนึ่งเท่านั้น
- ดังนั้น ผู้ส่งข้อความหรือผู้ไขข่าวหรือจำเลย จึงมีภาระการพิสูจน์ตามความในวรรคนี้ ตามป.วิ.พ. มาตรา 84/1 เนื่องจากตนเองเป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามที่บัญญัติไว้ในวรรคนี้ ขึ้นเป็นประเด็นไว้ในคำให้การ
- คำว่า หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้น หมายถึง ทั้งผู้ส่งข้อความหรือผู้ไขข่าว และผู้รับข้อความที่ผู้ส่งข้อความส่งต่อไปให้นั้น
- คำว่า หรือ มีความหมายถึง อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างก็ได้ ในกรณีนี้หมายถึง ทั้งผู้ส่งข้อความหรือผู้ไขข่าว และผู้รับข้อความ
- คำว่า มีทางได้เสีย หมายถึง มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนได้รับประโยชน์ หรือมีส่วนต้องเสียประโยชน์ กับข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อกันนั้น
- คำว่า โดยชอบ หมายถึง ความเกี่ยวข้องนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่น เป็นคู่สัญญาในสัญญาที่เกี่ยวข้องกับข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อนั้นด้วยกัน หรือเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ที่เกี่ยวข้องกับข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อนั้นด้วยกัน หรือเป็นผู้ถูกทำละเมิดที่เกี่ยวข้องกับข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อนั้นด้วยกัน หรือเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อนั้นด้วยกัน หรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่เกี่ยวข้องกับข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อนั้นด้วยกัน หรือเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อนั้นด้วยกัน
- คำว่า ในการนั้นด้วยแล้ว หมายถึง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อนั้นด้วยกัน
- คำว่า ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้น หมายถึง เฉพาะการส่งข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อกันนั้น โดยผู้ส่งข้อความหรือผู้ไขข่าวต้องไม่มีการกระทำอื่นใดอีก เช่น การกล่าวยืนยัน หรือให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่มีการส่งต่อกันนั้น ซึ่งถือว่านอกจากการส่งข้อความหรือข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวแล้ว ผู้ส่งข้อความหรือผู้ไขข่าวยังเป็นผู้กล่าวข้อความตามวรรคหนึ่งอีกด้วย
- คำว่า หาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หมายถึง ผู้ส่งข้อความหรือผู้ไขข่าวนั้น ไม่ใช่ผู้ทำละเมิด จึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่ผู้ที่ถูกทำละเมิดตามวรรคหนึ่ง
- ทั้งนี้เนื่องจากมีผู้กล่าวหรือไขข่าวคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในความหมายตามวรรคสองนี้ เป็นผู้ทำละเมิดที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่ที่ผู้ถูกทำละเมิดตามวรรคหนึ่งอยู่แล้ว
- ตามมาตรา 425 ที่บัญญัติว่า นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น หมายความว่า
- คำว่า นายจ้าง หมายถึง บุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างแรงงานที่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงที่จะทำงานให้แก่ตน ตามมาตรานี้หมายเฉพาะสัญญาจ้างแรงงาน ตามมาตรา 575 เท่านั้น
- สัญญาจ้างทำของ ตามมาตรา 587 ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้ แต่อยู่ในความหมายตามมาตรา 428
- คำว่า ต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้าง หมายถึง นายจ้างต้องรับผิด หรือถูกฟ้องให้รับผิดร่วมกับลูกจ้าง ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่บุคคลภายนอกที่ถูกลูกจ้างทำละเมิด
- นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในการทำละเมิดของลูกจ้างตามมาตรานี้ เป็นเพียงการร่วมรับผิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่บุคคลภายนอกที่ถูกลูกจ้างทำละเมิดเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความถึงว่า นายจ้างเป็นผู้ทำละเมิดร่วมกับลูกจ้างนั้นด้วย
- ในการรับผิดของนายจ้างตามมาตรานี้ เป็นการรับผิดอย่างเป็นลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 291 กับลูกจ้าง เนื่องจากบุคคลภายนอกที่ถูกลูกจ้างทำละเมิดนั้น ย่อมสามารถเรียกให้นายจ้างชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนเองได้ทั้งหมด หรือโดยสิ้นเชิงได้
- ตามมาตรานี้ผู้ทำละเมิดคงมีเพียงลูกจ้างเท่านั้น เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายจ้างได้ร่วมทำละเมิดกับลูกจ้างต่อบุคคลภายนอก ในกรณีนี้ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- เหตุที่มาตรานี้ให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้าง เนื่องจากตามปกตินายจ้างย่อมมีฐานะทางการเงินดีกว่าลูกจ้าง จึงได้บัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิด หรือถูกฟ้องให้ร่วมรับผิดกับลูกจ้างด้วย
- เนื่องจากนายจ้างไม่ได้ร่วมทำละเมิดกับลูกจ้าง เมื่อนายจ้างได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 438 ให้แก่บุคคลภายนอกที่ถูกลูกจ้างทำละเมิดแล้ว นายจ้างย่อมสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ได้ออกไปแทนลูกจ้าง พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 7 คืนจากลูกจ้างที่เรียกว่า การไล่เบี้ย ได้ตามมาตรา 426
- คำว่า ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไป หมายถึง ที่ลูกจ้างได้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกไปนั้น
- คำว่า ในทางการที่จ้าง หมายถึง ในระหว่างที่ลูกจ้างยังทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้าง
- การพิจารณาว่า ลูกจ้างยังทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างหรือไม่ ย่อมถือตั้งแต่ลูกจ้างเริ่มทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้าง จนถึงมีการกระทำที่แสดงว่า เป็นการสิ้นสุดการทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างในวันนั้นแล้ว เช่น ลูกจ้างที่มีหน้าที่ขับรถ ได้นำรถกลับมาจอดที่จอดรถของนายจ้าง หรือลูกจ้างได้สแกนลายนิ้วมือเมื่อสิ้นสุดการทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นแล้ว
- การเริ่มต้นทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ จนถึงสิ้นสุดการทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างในแต่ละวันนั้น ไม่ได้ถือตายตัวตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง หรือตามคำสั่งหรือตามระเบียบของนายจ้าง สามารถยืดหยุ่นก่อน หรือเกินเวลาที่กำหนดไว้ได้ แม้ว่าสัญญาจ้างหรือตามคำสั่งหรือตามระเบียบของนายจ้างจะระบุให้ลูกจ้างต้องทำงาน หรือหรือปฏิบัติหน้าที่ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง หรือตามคำสั่งหรือตามระเบียบของนายจ้างก็ตาม แต่ถ้าการทำละเมิดของลูกจ้างในระหว่างการทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างนั้นเกิดขึ้น เนื่องจากลูกจ้างทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างเกินเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง หรือเกินเวลาตามคำสั่งของนายจ้างที่กำหนดไว้ ก็เป็นหน้าที่ของนายจ้างที่จะต้องสอดส่องดูแลลูกจ้างให้ปฏิบัติตามสัญญาจ้างหรือตามคำสั่งหรือตามระเบียบของตนโดยเคร่งครัด แต่นายจ้างจะนำข้อสัญญาจ้างหรือคำสั่งหรือระเบียบของตนที่ระบุไว้เช่นนั้น มาใช้ยันต่อบุคคลภายนอกไม่ได้ เช่น ลูกจ้างขับรถไปส่งของเกินเวลาที่นายจ้างกำหนด เนื่องจากการจราจรติดขัด หรือเหตุอื่นใดก็ตาม แล้วลูกจ้างได้ขับรถชนรถคันอื่นก่อนที่จะนำรถมาจอดที่โรงเก็บรถ อันถือเป็นการสิ้นสุดการทำงานในวันนั้น ดังนี้ ถือว่า การทำละเมิดของลูกจ้างนั้น อยู่ในทางการที่จ้างตามมาตรานี้
- การทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างในแต่ละวันนั้น ก็ไม่ถึงกับจำกัดอยู่เฉพาะว่าต้องเป็นการทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานของนายจ้าง หรือตามคำสั่งหรือตามระเบียบของนายจ้าง หรือตามเส้นทางที่นายจ้างกำหนดเท่านั้น ย่อมสามารถยืดหยุ่นได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าสัญญาจ้างหรือคำสั่งหรือตามระเบียบของนายจ้างจะระบุไว้เช่นนั้น แต่ถ้าการทำละเมิดของลูกจ้างในระหว่างการทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างนั้นเกิดขึ้น เนื่องจากลูกจ้างนำงานของนายจ้างมาทำนอกสำนักงานของนายจ้าง หรือทำนอกคำสั่งหรือทำนอกระเบียบของนายจ้าง หรือนอกเส้นทางที่นายจ้างกำหนดไว้ ก็เป็นหน้าที่ของนายจ้างที่จะต้องสอดส่องดูแลลูกจ้างให้ปฏิบัติตามสัญญาจ้างหรือตามคำสั่งหรือตามระเบียบของตนโดยเคร่งครัด แต่นายจ้างจะนำข้อสัญญาจ้างหรือนำคำสั่งหรือนำระเบียบของตนที่ระบุไว้เช่นนั้น มาใช้ยันต่อบุคคลภายนอกไม่ได้ เช่น ลูกจ้างขับรถไปส่งของโดยใช้เส้นทางอื่นนอกเหนือจากเส้นทางที่นายจ้างกำหนดไว้ เนื่องจากการจราจรติดขัด หรือเหตุอื่นใดก็ตามแล้วลูกจ้างได้ขับรถชนรถคันอื่นก่อนที่จะนำรถมาจอดที่โรงเก็บรถ อันถือเป็นการสิ้นสุดการทำงานในวันนั้น ดังนี้ ถือว่า การทำละเมิดของลูกจ้างนั้น อยู่ในทางการที่จ้างตามมาตรานี้
- การทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างในแต่ละวันนั้น ก็ไม่ได้หมายความถึงว่า ลูกจ้างจะไม่สามารถนำงานส่วนต้วมาทำควบคู่ไปด้วยไม่ได้ แม้ว่าสัญญาจ้าง หรือตามคำสั่งหรือตามระเบียบของนายจ้างจะระบุไว้เช่นนั้นก็ตาม แต่ก็สามารถยืดหยุ่นได้เช่นเดียวกัน ทั้งเป็นหน้าที่ของนายจ้างที่จะต้องสอดส่องดูแลลูกจ้างให้ปฏิบัติตามสัญญาจ้างหรือตามคำสั่งหรือตามระเบียบของตนโดยเคร่งครัด แต่หากลูกจ้างนำหรือทำการงานส่วนตัวควบคู่ไปด้วย และทำให้เกิดละเมิดต่อบุคคลภายนอกแล้ว นายจ้างก็จะนำข้อสัญญาจ้างหรือนำคำสั่งหรือนำระเบียบของตนที่ระบุไว้เช่นนั้นมาใช้ยันต่อบุคคลภายนอกไม่ได้ เช่น ลูกจ้างขับรถไปส่งของโดยใช้เส้นทางอื่นนอกเหนือจากเส้นทางที่นายจ้างกำหนดไว้ เนื่องจากต้องการจะขับไปทำธุระส่วนตัว หรือขับไปรับเพื่อน หรือเหตุอื่นใดก็ตาม แล้วลูกจ้างได้ขับรถชนรถคันอื่นก่อนที่จะนำรถมาจอดที่โรงเก็บรถ อันถือเป็นการสิ้นสุดการทำงานในวันนั้น ดังนี้ ถือว่า การทำละเมิดของลูกจ้างนั้น อยู่ในทางการที่จ้างตามมาตรานี้
- ตามถ้าลูกจ้างกระทำความผิดทางอาญาต่อบุคคลภายนอกโดยเจตนา ซึ่งเป็นความผิดตามป.อ. หรือตามกฎหมายอื่นที่มีโทษทางอาญาแล้ว ดังนี้ ไม่ถือว่าการกระทำความผิดทางอาญาของลูกจ้างต่อบุคคลภายนอกโดยเจตนานั้น เป็นการทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างตามสัญญาจ้าง หรือตามคำสั่งหรือตามระเบียบของนายจ้าง และไม่ถือว่าการกระทำความผิดทางอาญาของลูกจ้างดังกล่าว เป็นการกระทำในทางการที่จ้าง ตามความหมายในมาตรานี้ เพราะการกระทำในทางการที่จ้าง ตามความหมายในมาตรานี้ ถือเฉพาะการกระทำที่ก่อให้เกิดหนี้ในทางแพ่งเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำที่ทำให้เกิดความรับผิดในทางอาญาด้วย
- การพิจารณาว่า ลูกจ้างยังทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างหรือไม่ ย่อมถือตั้งแต่ลูกจ้างเริ่มทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้าง จนถึงมีการกระทำที่แสดงว่า เป็นการสิ้นสุดการทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ให้แก่นายจ้างในวันนั้นแล้ว เช่น ลูกจ้างที่มีหน้าที่ขับรถ ได้นำรถกลับมาจอดที่จอดรถของนายจ้าง หรือลูกจ้างได้สแกนลายนิ้วมือเมื่อสิ้นสุดการทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นแล้ว
- คำว่า นายจ้าง หมายถึง บุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างแรงงานที่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงที่จะทำงานให้แก่ตน ตามมาตรานี้หมายเฉพาะสัญญาจ้างแรงงาน ตามมาตรา 575 เท่านั้น
- ตามมาตรา 426 ที่บัญญัติว่า นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น หมายความว่า
- คำว่า นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำนั้น หมายถึง นายจ้างที่ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว
- นายจ้างที่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกซึ่งถูกลูกจ้างทำละเมิดตามมาตรา 425 แต่ยังไม่ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไป ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- คำว่า ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น หมายถึง นายจ้างที่ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วนั้น สามารถเรียกเงินค่าสินไหมทดแทนที่ตนเองได้จ่ายให้แก่บุคคลภายนอกแทนลูกจ้างไปคืนจากลูกจ้างได้ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี เราเรียกการกระทำของนายจ้างนี้ว่า การไล่เบี้ย
- คำว่า นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำนั้น หมายถึง นายจ้างที่ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว
- ตามมาตรา 427 ที่บัญญัติว่า บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้น ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม หมายความว่า
- คำว่า บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้น หมายถึง บทบัญยัติในมาตรา 425 และมาตรา 426
- คำว่า ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม หมายถึง ให้นำบทบัญญัติเรื่องความรับผิดของนายจ้างต่อบุคคลภายนอกในการกระทำละเมิดของลูกจ้างนั้น มาใช้บังคับให้ตัวการต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในการกระทำละเมิดของตัวแทนของตนด้วย
- ตามความในมาตรานี้ตัวการและตัวแทนดังกล่าวนั้น ต้องเป็นตัวการและตัวแทนต่อกันจริง ๆ ตามลักษณะ 15 ในเรื่องตัวแทน
- การไหว้วานกันให้เป็นตัวแทนในเรื่องต่าง ๆ ตามความหมายโดยทั่วไป ไม่อยู่ในความหมายของมาตรานี้
- ตามมาตรา 428 ที่บัญญัติว่า ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง หมายความว่า
- คำว่า ผู้ว่าจ้างทำของ หมายถึง บุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของที่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับจ้าง ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่ตน ตามมาตรานี้หมายเฉพาะสัญญาจ้างทำของ ตามมาตรา 587 เท่านั้น
- คำว่า ไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอก หมายถึง ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 แก่บุคคลภายนอก สำหรับความเสียหายที่ผู้รับจ้างทำการงานให้แก่ผู้ว่าจ้างนั้น ได้ไปทำละเมิดแก่บุคคลภายนอก
- คำว่า ในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง หมายถึง ในระหว่างที่ผู้รับจ้างยังทำการงานให้แก่ผู้ว่าจ้าง
- การพิจารณาว่า ผู้รับจ้างยังทำการงานให้แก่ผู้ว่าจ้างหรือไม่ ย่อมถือตั้งแต่ผู้รับจ้างเริ่มทำการงานให้แก่ผู้ว่าจ้าง จนถึงมีการกระทำที่แสดงว่า เป็นผลสำเร็จของการงานที่ทำให้แก่ผู้ว่าจ้างในคราวนั้นแล้ว เช่น ผู้รับจ้างที่รับสร้างบ้านทั้งหลัง ได้ส่งมอบบ้านทั้งหลังที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ให้แก่ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างได้ตรวจรับงานแล้ว หรือผู้รับจ้างที่รับสร้างบ้านเพียงบางส่วน โดยผู้ว่าจ้างได้แบ่งงานสร้างบ้านออกเป็นงวดงานหลายงวด และผู้รับจ้างได้ส่งมอบงานก่อสร้างตามที่ได้รับมอบหมายในงวดงานนั้นให้แก่ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างได้ตรวจรับงานแล้ว
- การเริ่มต้นทำการงาน จนถึงมีการกระทำที่ถือว่า เป็นผลสำเร็จของการงานที่ทำให้แก่ผู้ว่าจ้างในคราวนั้น ไม่ได้ถือตายตัวตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างทำของ สามารถยืดหยุ่นที่ผู้ว่าจ้างจะทำก่อน หรือเกินเวลาที่กำหนดไว้ได้ แม้ว่าสัญญาจ้างทำของจะระบุให้ผู้รับจ้างต้องทำการงานตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างทำของก็ตาม แต่ถ้าการทำละเมิดของผู้รับจ้างที่เกิดขึ้นในระหว่างทำการงานให้แก่ผู้ว่าจ้าง เนื่องจากผู้ว่าจ้างทำการงานให้แก่ผู้ว่าจ้างเกินเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างทำของ ผู้ว่าจ้างก็จะนำข้อสัญญาจ้างทำของที่ระบุไว้เช่นนั้น มาใช้ยันต่อบุคคลภายนอกไม่ได้
- ตามบทบัญญัติในลักษณะจ้างทำของ แม้ว่าผู้รับจ้างไม่จำต้องทำตามคำสั่งหรือระเบียบของผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างก็ไม่มีสิทธิที่จะควบคุมการทำงานของผู้รับจ้างด้วย แต่ก็ไม่ได้ห้ามผู้รับจ้างที่จะทำตามคำสั่งหรือตามระเบียบของผู้ว่าจ้าง หรือที่ผู้ว่าจ้างจะเข้ามาควบคุมการทำงานของผู้รับจ้างแต่อย่างใด แม้จะมีการกระทำในลักษณะดังกล่าวก็ยังถือว่าในการทำการงานนั้น คงเป็นการทำการงานตามสัญญาจ้างทำของอยู่เช่นเดิม และก็ไม่ได้ทำให้ผู้ว่าจ้างกลายเป็นนายจ้าง และผู้รับจ้างกลายเป็นลูกจ้างขึ้นมาได้
- การพิจารณาว่า ผู้รับจ้างยังทำการงานให้แก่ผู้ว่าจ้างหรือไม่ ย่อมถือตั้งแต่ผู้รับจ้างเริ่มทำการงานให้แก่ผู้ว่าจ้าง จนถึงมีการกระทำที่แสดงว่า เป็นผลสำเร็จของการงานที่ทำให้แก่ผู้ว่าจ้างในคราวนั้นแล้ว เช่น ผู้รับจ้างที่รับสร้างบ้านทั้งหลัง ได้ส่งมอบบ้านทั้งหลังที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ให้แก่ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างได้ตรวจรับงานแล้ว หรือผู้รับจ้างที่รับสร้างบ้านเพียงบางส่วน โดยผู้ว่าจ้างได้แบ่งงานสร้างบ้านออกเป็นงวดงานหลายงวด และผู้รับจ้างได้ส่งมอบงานก่อสร้างตามที่ได้รับมอบหมายในงวดงานนั้นให้แก่ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างได้ตรวจรับงานแล้ว
- คำว่า เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิด หมายถึง ผู้ว่าจ้างเป็นผู้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสัญญาจ้างในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามความหมายในข้อความถัดไป
- คำว่า ในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ หมายถึง ผู้ว่าจ้างเป็นผู้ทำสัญญาจ้างให้ผู้รับจ้างทำการงานที่เป็นละเมิดแก่บุคคลภายนอกนั้น เช่น ผู้ว่าจ้างทำสัญญาจ้างผู้รับจ้างให้ปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดินข้างเคียงของผู้อื่น ทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินข้างเคียง ดังนี้ การงานที่ผู้ว่าจ้างสั่งให้ทำดังกล่าว จึงเป็นละเมิดแก่เจ้าของที่ดินข้างเคียง
- ในกรณีนี้ผู้ว่าจ้าง ย่อมมีลักษณะเป็นผู้ใช้หรือก่อให้ผู้รับจ้างทำละเมิดต่อผู้อื่น แต่บทบัญญัติในลักษณะละเมิดนี้ ไม่มีบทบัญญัติในเรื่อง ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ที่รับโทษแตกต่างกันกับตัวการ เหมือนในป.อ. คงมีแต่ผู้ร่วมกระทำละเมิด และผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือการทำละเมิดที่ต้องร่วมกันรับผิดในลักษณะเช่นเดียวกับการร่วมกันก่อหนี้ ตามมาตรา 432 หรือในลักษณะรับผิดแทนผู้ทำละเมิด เช่น มาตรา 425 หรือมาตรา 427 หรือมาตรา 429 หรือมาตรา 430 เท่านั้น โดยเพ็งเล็งถึงความรับผิดในหนี้ของผู้ทำละเมิดหรือลูกหนี้แต่ละคนว่า ต้องรับผิดทั้งหมดหรือโดยสิ้นเชิง อย่างลูกหนี้ร่วม ตามมาตรา 291 เท่านั้น ไม่ได้เพ็งเล็งถึงการกระทำของผู้ทำละเมิดแต่ละคนว่า ได้กระทำโดยไม่ถูกต้องต่างกันอย่างไร และจะต้องรับโทษมากน้อยต่างกันอย่างใด เหมือนในป.อ.
- คำว่า ในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หมายถึง ผู้ว่าจ้างเป็นผู้ทำสัญญาจ้างให้ผู้รับจ้างทำการงานที่ไม่เป็นละเมิดแก่บุคคลภายนอก แต่ผู้ว่าจ้างให้คำสั่งในการทำการงานนั้นแก่ผู้รับจ้าง ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเป็นละเมิดต่อบุคคลภายนอก เช่น ผู้ว่าจ้างทำสัญญาจ้างผู้รับจ้างให้ปลูกสร้างบ้านในที่ดินของตนเอง ซึ่งการปลูกสร้างบ้านในที่ดินของตนเองไม่เป็นละเมิดต่อบุคคลอื่น แต่ผู้ว่าจ้างสั่งให้ผู้รับจ้างสร้างฐานรากหรือเสาเข็มของบ้าน ด้วยวิธีการตอก ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีการเจาะ แต่วิธีการตอกจะเกิดแรงสั่นสะเทือนมากกว่าวิธีการเจาะ และทำให้อาคารหรือบ้านในที่ดินข้างเคียงได้รับความเสียหายแตกร้าวได้ ดังนี้ คำสั่งของผู้ว่าจ้างดังกล่าว จึงเป็นละเมิดแก่เจ้าของอาคารหรือบ้านในที่ดินข้างเคียง
- คำว่า ในการเลือกหาผู้รับจ้าง หมายถึง ผู้ว่าจ้างทำสัญญาจ้างผู้รับจ้างที่ไม่สามารถทำการงานตามที่ว่าจ้างได้ จนเป็นเหตุการงานที่ผู้รับจ้างทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เช่น ผู้ว่าจ้างทำสัญญาจ้างผู้รับจ้างให้ปลูกสร้างบ้านในที่ดินของตนเอง ซึ่งการปลูกสร้างบ้านในที่ดินของตนเองไม่เป็นละเมิดต่อบุคคลอื่น ทั้งผู้ว่าจ้างสั่งให้ผู้รับจ้างสร้างฐานรากหรือเสาเข็มของบ้าน ด้วยวิธีการเจาะ ซึ่งแม้จะเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าวิธีการตอก แต่วิธีการเจาะจะเกิดแรงสั่นสะเทือนน้อยกว่าวิธีการตอก และไม่ทำให้อาคารหรือบ้านในที่ดินข้างเคียงได้รับความเสียหายแตกร้าว แต่ผู้รับจ้างไม่เคยปลูกสร้างบ้านมาก่อน บ้านที่สร้างเสร็จจึงไม่ได้มาตรฐานและเอียงไปโดนอาคารหรือบ้านในที่ดินข้างเคียงได้รับความเสียหายแตกร้าว ดังนี้ การเลือกผู้รับจ้างดังกล่าว จึงเป็นละเมิดแก่เจ้าของอาคารหรือบ้านในที่ดินข้างเคียง
- ตามมาตรานี้เป็นการทำละเมิดของผู้ว่าจ้าง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ว่าจ้าง คือ ในส่วนการงานที่ผู้ว่าจ้างสั่งให้ทำ หรือในส่วนคำสั่งของผู้ว่าจ้าง หรือในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกผู้รับจ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อผู้ว่าจ้างต้องรับผิดตามมาตรานี้แล้ว ผู้รับจ้างจะพ้นจากความรับผิดไปแต่อย่างใด เพราะผู้รับจ้างก็เป็นผู้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกตามมาตรา 420 ด้วยเช่นกัน ดังนั้น แม้มาตรานี้จะไม่ได้กำหนดให้ผู้ว่าจ้างต้องร่วมรับผิดต่อบุคคลภายนอกกับผู้รับจ้าง เหมือนมาตรา 425 หรือมาตรา 427 ก็ตาม แต่เมื่อผู้ว่าจ้างเป็นผู้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกร่วมกับผู้รับจ้างแล้ว ผู้ว่าจ้างก็ต้องร่วมรับผิดกับผู้รับจ้าง ตามมาตรา 432 ด้วยเช่นเดียวกัน
- มาตรานี้แม้จะบัญญัติถึงผู้ว่าจ้าง แต่ก็มีข้อแตกต่างจากนายจ้างตามมาตรา 425 โดยมาตรานี้ถือว่าผู้ว่าจ้างเป็นผู้ร่วมกระทำละเมิดกับผู้รับจ้าง ผู้ว่าจ้างจึงต้องร่วมรับผิดต่อบุคคลภายนอกกับผู้รับจ้างอย่างลูกหนี้ร่วม ตามมาตรา 432 และมาตรา 291 แต่มาตรา 425 ไม่ถือว่านายจ้างเป็นผู้ร่วมกระทำละเมิดกับลูกจ้าง นายจ้างจึงเพียงร่วมรับผิดต่อบุคคลภายนอกกับลูกจ้างอย่างลูกหนี้ร่วม ตามมาตรา 425 และมาตรา 291
- แต่ตามมาตรา 425 แม้นายจ้างจะรับผิดต่อบุคคลภายนอกกับลูกจ้างอย่างลูกหนี้ร่วม ตามมาตรา 291 ก็ตาม แต่ตามมาตรา 426 นายจ้างสามารถไล่เบี้ยเรียกเงินค่าสินไหมทดแทนที่ตนชดใช้ให้แก่บุคคลภายนอก คืนจากลูกจ้างได้ แต่ตามมาตรา 432 ไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ว่าจ้างสามารถไล่เบี้ยเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ตนชดใช้แก่บุคคลภายนอกคืนจากผู้รับจ้างได้
- ตามมาตรา 432 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย หมายความว่า
- คำว่า ถ้าบุคคลหลายคน หมายถึง บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ผู้ใด ตามความหมายในมาตรา 420
- คำว่า ก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่น หมายถึง ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ให้เขาเสียหาย ตามความหมายในมาตรา 420
- คำว่า โดยร่วมกันทำละเมิด หมายถึง การกระทำของบุคคลหลายคนนั้น มีลักษณะเป็นการทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นด้วยกัน โดยเป็นการทำละเมิดตามที่กล่าวมาในมาตรา 420 หรือมาตรา 421 หรือมาตรา 422 หรือมาตรา 423 หรือมาตรา 428
- การร่วมกันทำละเมิดตามความในมาตรานี้ มีข้อแตกต่างจากการร่วมกันกระทำความผิดตามป.อ. มาตรา 83 คือ
- การร่วมกันกระทำความผิดตามป.อ. มาตรา 83 คงเป็นการร่วมกระทำความผิดเฉพาะแต่ความผิดที่ทำโดยเจตนาเท่านั้น การกระทำโดยประมาทไม่มีการร่วมกันกระทำความผิดตามป.อ. มาตรา 83
- การร่วมกันทำละเมิดในมาตรานี้ จึงหมายความเฉพาะ การกระทำของผู้ทำละเมิดทุกคนนั้นเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นในครั้งนั้นด้วยกันเท่านั้น ดังนั้น ผู้ทำละเมิดบางคนจึงอาจทำละเมิดโดยจงใจ ก็สามารถกระทำละเมิดร่วมกับผู้ทำละเมิดคนอื่นที่ทำโดยประมาท ตามความหมายในมาตรานี้ได้
- เหตุที่มาตรานี้เพ็งเล็งเฉพาะการทำให้เกิดความเสียหายเป็นสำคัญ เนื่องจากเมื่อมีความเสียหาย จึงจะก่อให้เกิดหนี้ที่ผู้ทำละเมิดต้องชดใช้ให้แก่ผู้ถูกทำละเมิด ในกรณีคือ มูลแห่งหนี้ ทั้งนี้เพราะละเมิดเป็นมูลแห่งหนี้ หรือบ่อเกิดแห่งหนี้ประเภทหนึ่งนั้นเอง
- มาตรานี้จึงไม่ได้เพ็งเล็งถึงว่า ผู้ร่วมทำละเมิดทุกคนจะต้องมีการร่วมกันกระทำการกันจริง ๆ อย่างในป.อ. มาตรา 83
- แต่ถ้าในการทำละเมิดนั้น มีผู้ร่วมทำละเมิดโดยจงใจหลายคน เราก็สามารถนำหลักเกณฑ์ในเรื่อง การร่วมกันกระทำความผิดโดยเจตนาตามป.อ. มาตรา 83 มาใช้แก่ผู้ร่วมทำละเมิดโดยจงใจหลายคนนี้ได้
- การร่วมกันทำละเมิดตามความในมาตรานี้ มีข้อแตกต่างจากการร่วมกันกระทำความผิดตามป.อ. มาตรา 83 คือ
- คำว่า ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น หมายถึง ผู้ที่ทำละเมิดให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นในครั้งนั้นด้วยกันนั้น ต้องร่วมกันผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายนั้น ตามมาตรา 438 ให้แก่ผู้ถูกทำละเมิดหรือผู้ได้รับความเสียหาย อย่างลูกหนี้ร่วม ตามมาตรา 291
- คำว่า ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึง หมายถึง การร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายนั้น ตามมาตรา 438 ให้แก่ผู้ถูกทำละเมิดหรือผู้ได้รับความเสียหาย อย่างลูกหนี้ร่วม ตามมาตรา 291 นั้น ให้ใช้แก่กรณีตามข้อความถัดไปได้ด้วย
- คำว่า ที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่า หมายถึง ไม่มีพฤติการณ์ หรือพยานหลักฐานบ่งชี้ให้รู้ได้แน่ชัดว่า ใครเป็นผู้กระทำ
- คำว่า ในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น หมายถึง ในกลุ่มผู้ที่ทำละเมิดให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกด้วยกันนั้น
- คำว่า คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย หมายถึง ในกลุ่มผู้ที่ทำละเมิดให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกด้วยกันนั้น ใครเป็นคนทำให้เกิดความเสียหายจากการทำละเมิดในครั้งนี้แก่บุคคลภายนอก
- ตามข้อความในส่วนนี้ ก็ไม่ได้หมายความถึงว่า ถ้ารู้ตัวว่าใครเป็นผู้ทำให้เกิดความเสียหายจากการทำละเมิดในครั้งนี้แก่บุคคลภายนอกแล้ว คนอื่น ๆ ที่ได้ร่วมทำละเมิด แต่อาจไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นโดยตรงจากการกระทำของตนเองนั้น จะไม่ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกกับผู้ทำละเมิดที่ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นนั้นแต่อย่างใด เพราะตามในวรรคนี้ตอนต้นบัญญัติให้ ผู้ร่วมทำละเมิดเหล่านั้น คือ ทุกคน ต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกเพื่อความเสียหายนั้น และเมื่อฟังได้ว่า ผู้ทำละเมิดทุกคนร่วมกันทำละเมิด จนเกิดความเสียหายขึ้นแก่บุคคลภายนอกด้วยกันแล้ว ย่อมแสดงว่าการกระทำของผู้ร่วมทำละเมิดทุกคนนั้น มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายไม่มากก็น้อยขึ้นแก่บุคคลภายนอกทั้งสิ้น ไม่ใช่ความเสียหายเกิดขึ้นนั้น สามารถแยกออกได้ว่า เกิดจากการกระทำของผู้ทำละเมิดคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวโดยลำพัง
- แต่ถ้ารู้ตัวว่า ผู้ร่วมกันทำละเมิดคนใดทำให้เกิดความเสียหายมากน้อยต่างกันอย่างไร ศาลก็อาจใช้ดุลพินิจกำหนดให้ผู้ร่วมกันทำละเมิดแต่ละคน ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไม่เท่ากันได้ ตามความในวรรคสาม
- ตามมาตรา 432 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย หมายความว่า
- คำว่า บุคคลผู้ยุยงส่งเสริม หมายถึง ผู้ที่กระตุ้น หรือก่อ หรือทำให้ผู้อื่นทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก
- ส่งเสริม เป็นคำสร้อยของยุยง ไม่ได้มีความหมายตรงตามความหมายที่แท้จริง ซึ่งหมายถึง การเกื้อหนุน หรือสนับสนุน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับการช่วยเหลือ ตามข้อความถัดไป
- การยุยง คือ การก่อให้ผู้อื่นทำละเมิด มีลักษณะเดียวกับ ผู้ใช้ ตามป.อ. มาตรา 84
- วรรคนี้ใช้คำว่า ผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือ ไม่ได้ใช้คำเฉพาะว่า ผู้ยุยงส่งเสริม หรือคำว่า ผู้ใช้ เหมือนตามป.อ. มาตรา 84 ดังนั้นในการกล่าวอ้างว่า วรรคนี้บัญญัติว่าอย่างไร ไม่สามารถใช้คำว่า ผู้ยุยงส่งเสริม แทนได้ ต้องใช้ว่า ผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือ แต่ในการอธิบายความทั่วไป ก็อาจใช้คำว่า ผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ใช้แทนได้ แต่ในการใช้คำว่า ผู้ใช้ ต้องระมัดระวัง เพราะมีความหมายที่แตกต่างกันอยู่
- แต่มีข้อแตกต่างจากผู้ใช้ ตามป.อ. มาตรา 84 คือ
- ผู้ใช้ตามป.อ. มาตรา 84 หากไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ผู้ใช้ดังกล่าวจะรับโทษเพียง 1 ใน 3 ของระวางโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่ใช้นั้น หรือหากมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ผู้ใช้ดังกล่าวจึงจะรับโทษเสมือนเป็นตัวการ คือ รับโทษเท่ากับผู้กระทำความผิดหรือผู้ถูกใช้ เป็นเพียงการรับโทษเท่านั้น แต่ผู้ใช้ตามป.อ. มาตรา 84 ก็ยังคงเป็นผู้ใช้ ไม่ได้เป็นตัวการตามป.อ. มาตรา 83 ร่วมกับผู้กระทำความผิดหรือผู้ถูกใช้จริง ๆ หรือหากผู้ใช้ดังกล่าวเข้าร่วมในการกระทำความผิดกับผู้กระทำความผิดหรือผู้ถูกใช้ ผู้ใช้ตามป.อ. มาตรา 84 ก็จะกลายเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด หรือตัวการ ตามป.อ. มาตรา 83 และต้องรับโทษอย่างเป็นตัวการด้วย
- ตามวรรคนี้จะต้องมีการทำละเมิดเกิดขึ้นเท่านั้น จึงจะถือว่า ผู้ยุยงส่งเสริมเป็นผู้ร่วมกระทำละเมิดด้วย ทั้งนี้เพราะการทำละเมิด ไม่มีการพยายามทำละเมิด ถ้าไม่เกิดความเสียหายขึ้นแก่บุคคลภายนอก ย่อมไม่ถือเป็นการทำละเมิดตามลักษณะ ๕ นี้ ผู้ยุยงส่งเสริมย่อมไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- ถ้ามีการทำละเมิดเกิดขึ้น ผู้ยุยงส่งเสริมตามวรรคนี้ ย่อมถือเป็นผู้ร่วมทำละเมิดด้วยเสมอ ไม่ว่าผู้ยุยงส่งเสริมจะได้เข้าร่วมในการทำละเมิด เช่น อยู่ร่วมด้วยในขณะทำละเมิด หรือเพียงแค่กระตุ้นหรือก่อให้เกิดการทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น
- ดังนั้น ตามวรรคนี้ จึงไม่ต้องพิจารณาว่า ผู้ยุยงส่งเสริมเพียงแค่กระตุ้นหรือก่อ หรือทำให้เกิดการทำละเมิด หรือได้เข้าร่วมในการทำละเมิดด้วยหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของการร่วมรับผิดของผู้ยุยงส่งเสริมแตกต่างไป
- ผู้ยุยงส่งเสริมต้องรับผิดต่อผู้ถูกทำละเมิดร่วมกับผู้ทำละเมิด ดูความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยรวมทั้งหมด ไม่ได้แยกรับผิดเฉพาะความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของตนเอง เหมือนผู้ใช้ ตามป.อ. มาตรา 84 ที่ต้องรับโทษจากการกระทำของตนเอง ซึ่งต้องดูเหตุเพิ่มโทษ หรือเหตุลดโทษ อันเป็นเหตุส่วนตัวของผู้ใช้ประกอบด้วยเสมอ จึงทำให้โทษของผู้ที่ใช้รับจริง อาจมากหรือน้อยแตกต่างจากตัวการได้
- คำว่า ช่วยเหลือในการทำละเมิด หมายถึง การสนับสนุน หรือส่งเสริม หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก ไม่ว่าการสนับสนุน หรือให้ความสะดวกนั้นจะเกิดขึ้นก่อน หรือหลังการทำละเมิดก็ตาม มีลักษณะเดียวกับ ผู้สนับสนุน ตามป.อ. มาตรา 86
- คำว่า ส่งเสริม ตามความหมายปกติ มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ช่วยเหลือ แต่ในวรรคนี้ คำว่า ส่งเสริม ถือเป็นคำสร้อยของคำว่า ยุยง ซึ่งหมายถึง การก่อหรือใช้ให้เกิดการทำละเมิด ไม่ใช่การช่วยเหลือในการทำละเมิด
- วรรคนี้ใช้คำว่า ผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือ ไม่ได้ใช้คำเฉพาะว่า ผู้ช่วยเหลือ เหมือนผู้สนับสนุนตามป.อ. มาตรา 86 ดังนั้นในการกล่าวอ้างว่า วรรคนี้บัญญัติว่าอย่างไร ไม่สามารถใช้คำว่า ผู้ช่วยเหลือ แทนได้ ต้องใช้ว่า ผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือ แต่ในการอธิบายความทั่วไป ก็อาจใช้คำว่า ผู้ช่วยเหลือหรือผู้สนับสนุน ได้ แต่ในการใช้คำว่า ผู้สนับสนุน ต้องระมัดระวัง เพราะมีความหมายที่แตกต่างกันอยู่
- แต่มีข้อแตกต่างจากผู้สนับสนุน ตามป.อ. มาตรา 86 คือ
- ผู้สนับสนุน ตามป.อ. มาตรา 86 หากมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น คงรับโทษเพียง 2 ใน 3 ของระวางโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น หรือหากไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เป็นเพียงการพยายามกระทำความผิด ผู้สนับสนุนก็รับโทษเพียง 2 ใน 3 ของระวางโทษที่กำหนดไว้สำหรับการพยายามกระทำความผิดนั้น โดยยังถือว่าเป็นผู้สนับสนุน ไม่ใช่ผู้ร่วมกระทำความผิดหรือตัวการ
- แต่หากผู้สนับสนุนดังกล่าวเข้าร่วมในการกระทำความผิดกับผู้กระทำความผิด ผู้สนับสนุนตามป.อ. มาตรา 86 ก็จะกลายเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด หรือตัวการ ตามป.อ. มาตรา 83 และต้องรับโทษอย่างเป็นตัวการด้วย
- ตามวรรคนี้จะต้องมีการทำละเมิดเกิดขึ้นเท่านั้น จึงจะถือว่า ผู้ช่วยเหลือเป็นผู้ร่วมกระทำละเมิดด้วย ทั้งนี้เพราะการทำละเมิด ไม่มีการพยายามทำละเมิด ถ้าไม่เกิดความเสียหายขึ้นแก่บุคคลภายนอก ย่อมไม่ถือเป็นการทำละเมิดตามลักษณะ ๕ นี้ ผู้ช่วยเหลือย่อมไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- ถ้ามีการทำละเมิดเกิดขึ้น ผู้ช่วยเหลือตามวรรคนี้ ย่อมถือเป็นผู้ร่วมทำละเมิดด้วยเสมอ ไม่ว่าผู้ช่วยเหลือจะได้เข้าร่วมในการทำละเมิด เช่น อยู่ร่วมด้วยในขณะทำละเมิด หรือเพียงแค่สนับสนุนหรือให้ความสะดวกแก่การทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น
- ดังนั้น ตามวรรคนี้ จึงไม่ต้องพิจารณาว่า ผู้ช่วยเหลือเพียงแค่สนับสนุนหรือให้ความสะดวกแก่การทำละเมิด หรือได้เข้าร่วมในการทำละเมิดด้วยหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของการร่วมรับผิดของผู้ช่วยเหลือแตกต่างไป
- ผู้ช่วยเหลือต้องรับผิดต่อผู้ถูกทำละเมิดร่วมกับผู้ทำละเมิด ดูความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยรวมทั้งหมด ไม่ได้แยกรับผิดเฉพาะความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของตนเอง เหมือนผู้สนับสนุน ตามป.อ. มาตรา 86 ที่ต้องรับโทษจากการกระทำของตนเอง ซึ่งต้องดูเหตุเพิ่มโทษ หรือเหตุลดโทษ อันเป็นเหตุส่วนตัวของผู้สนับสนุนประกอบด้วยเสมอ จึงทำให้โทษของผู้สนับสนุนที่รับจริง อาจมากหรือน้อยแตกต่างจากตัวการได้
- คำว่า ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย หมายถึง ผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก ย่อมเป็นผู้ร่วมทำละเมิดกับผู้อื่นนั้นด้วย
- ผู้ยุยงส่งเสริม และผู้ช่วยเหลือตามวรรคนี้ จึงแตกต่างจากผู้ใช้ และผู้สนับสนุนตามป.อ. มาตรา 84 และมาตรา 86 หากมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ผู้ใช้ ตามป.อ. มาตรา 84 คงรับโทษเสมือนเป็นตัวการ คือ รับโทษเท่ากับตัวการเท่านั้น เป็นเพียงการรับโทษเท่านั้น แต่ผู้ใช้ตามป.อ. มาตรา 84 ก็ยังคงเป็นผู้ใช้ ไม่ได้เป็นตัวการตามป.อ. มาตรา 83 ร่วมกับผู้กระทำความผิดหรือผู้ถูกใช้จริง ๆ ผู้ใช้ตามป.อ. มาตรา 84 จะเป็นตัวการตามป.อ. มาตรา 83 ก็ต่อเมื่อตนเองได้เข้ามาร่วมกระทำความผิดด้วยเท่านั้น และผู้สนับสนุนตามป.อ. มาตรา 86 ก็ยังคงเป็นผู้สนับสนุน ไม่ได้เป็นตัวการกับผู้กระทำความผิดหรือผู้ถูกใช้ ผู้สนับสนุนตามป.อ. มาตรา 86 จะเป็นตัวการตามป.อ. มาตรา 83 ก็ต่อเมื่อตนเองได้เข้ามาร่วมกระทำความผิดด้วยเช่นเดียวกัน
- แต่ผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือตามวรรคนี้ ให้ถือเป็นผู้ร่วมทำละเมิด หรือเป็นตัวการกับผู้ทำละเมิดด้วย แม้ผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือจะไม่ได้เข้ามาร่วมทำละเมิดด้วยก็ตาม
- ดังนั้น ตามวรรคนี้ จึงไม่ต้องพิจารณาว่า ผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือเพียงแค่กระตุ้น หรือก่อ หรือทำให้เกิด หรือสนับสนุน หรือให้ความสะดวกแก่การทำละเมิด หรือได้เข้าร่วมในการทำละเมิดด้วยหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของการร่วมรับผิดของผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือแตกต่างไป
- คำว่า บุคคลผู้ยุยงส่งเสริม หมายถึง ผู้ที่กระตุ้น หรือก่อ หรือทำให้ผู้อื่นทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก
- ตามมาตรา 432 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น หมายความว่า
- คำว่า ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น หมายถึง ผู้ร่วมทำละเมิด ผู้ยุยงส่งเสริม และผู้ช่วยเหลือในการทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก ตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ต้องรับผิดร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม ตามมาตรา 291
- คำว่า ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน หมายถึง ผู้ร่วมทำละเมิด ผู้ยุยงส่งเสริม และผู้ช่วยเหลือในการทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก ตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง และต้องรับผิดร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม ตามมาตรา 291 นั้น ต้องรับผิดในระหว่างกันเองคนละส่วนเท่า ๆ กัน
- แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อผู้ถูกทำละเมิดเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ร่วมทำละเมิด หรือผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือในการทำละเมิดคนใดคนหนึ่งทั้งหมดหรือโดยสิ้นเชิงหรือเกินส่วนของผู้ร่วมทำละเมิด หรือผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือในการทำละเมิดนั้นแล้ว ผู้ร่วมทำละเมิด หรือผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือในการทำละเมิดซึ่งเมื่อชำระส่วนของตนแล้ว จะปฏิเสธไม่ยอมชำระส่วนที่เหลือของคนอื่นไม่ได้ ผู้ร่วมทำละเมิด หรือผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือในการทำละเมิดนั้นจะต้องชำระค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดหรือโดยสิ้นเชิงหรือตามที่ผู้ถูกทำละเมิดเรียกร้อง แล้วจึงค่อยมาไล่เบี้ยเอาค่าสินไหมทดแทนที่ชำระไปเกินส่วนของตนนั้น คืนจากผู้ร่วมทำละเมิด หรือผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือในการทำละเมิดคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกทำละเมิด
- คำว่า เว้นแต่โดยพฤติการณ์ หมายถึง โดยพฤติการณ์ หรือภาวะวิสัย หรือ Objective ในการทำละเมิด หรือในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ถูกทำละเมิด ซึ่งบางครั้งผู้ทำละเมิดอาจทำเพียงเล็กน้อยตามปกติทั่วไป แต่กลับทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกทำละเมิดขึ้นอย่างมากก็ได้ เช่น ผู้ทำละเมิดผลักผู้ถูกทำละเมิดเพียงเล็กน้อย แต่ผู้ถูกทำละเมิดยืนอยู่บนพื้นที่ไม่เสมอกัน จึงล้มลง ทำให้แขนของผู้ถูกทำละเมิดหัก
- แม้จะใช้คำว่า โดยพฤติการณ์ ซึ่งหมายความถึง ภาวะวิสัย หรือ Objective ในการทำละเมิด หรือในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ถูกทำละเมิดก็ตาม แต่ในการพิจารณากำหนดค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ศาลก็อาจนำ อัตวิสัย หรือ Subjective หรือความมุ่งหมาย หรือความตั้งใจในการทำละเมิด ของผู้ทำละเมิดแต่ละคนมาพิจารณาประกอบด้วยได้ ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด เช่น ผู้ทำละเมิดตั้งใจทำละเมิดแก่ผู้ถูกทำละเมิดมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังมีความตั้งใจจะทำละเมิดต่อผู้ถูกทำละเมิดซ้ำอีก
- คำว่า ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น หมายถึง ศาลจะกำหนดค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้เพิ่มมากขึ้น หรือน้อยลงกว่าปกติ หรืออาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ร่วมทำละเมิด หรือผู้ยุยงส่งเสริม หรือผู้ช่วยเหลือในการทำละเมิดแต่ละคนต้องใช้ให้แก่ผู้ถูกทำละเมิดไม่เท่ากัน โดยพิจารณาจากความร้ายแรงในการทำละเมิดของแต่ละคน หรือพิจารณาจากความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดจากการทำละเมิดของแต่ละคนก็ได้
- ตามมาตรา 433 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น หรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น หมายความว่า
- คำว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ หมายถึง สัตว์เลี้ยงของบุคคลใดก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เช่น กัด หรือข่วน หรือทำร้ายบุคคลอื่น รวมถึงทำให้ทรัพย์สินของบุคคลนั้นได้รับความเสียหายด้วย เช่น ทำให้บ้านเสียหาย หรือรถเป็นรอยขีดข่วน
- สัตว์เลี้ยงนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสัตว์ที่เลี้ยงกันทั่วไป เช่น สุนัข หรือแมว รวมถึงสัตว์ที่บุคคลทั่วไปไม่นิยมนำมาเลี้ยง แต่บุคคลบางคนนำมาเลี้ยงด้วย เช่น ช้าง หรือเสือ หรือสิงห์โต หรือหมี หรือลิง หรืออูฐ หรือกิ้งก่า หรือจระเข้
- และไม่ได้จำกัดว่า การเลี้ยงสัตว์นั้นต้องเป็นการเลี้ยงโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือมีการขออนุญาตโดยถูกต้องเท่านั้น การลักลอบเลี้ยงสัตว์นั้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ได้ขออนุญาตโดยถูกต้อง ก็อยู่ในความหมายตามวรรคนี้ด้วย
- แต่ตามความในวรรคนี้ไม่ได้หมายความถึงว่า สัตว์นั้นเป็นผู้ทำละเมิดต่อบุคคลอื่น เพราะวรรคนี้ใช้คำว่า ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ไม่ได้ใช้คำว่า การทำละเมิด หรือการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือการกระทำที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ทั้งนี้เพราะสัตว์ไม่สามารถทำละเมิดแก่บุคคลใด ๆ ได้ เนื่องจากสัตว์ไม่มีการกระทำโดยการจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ อีกทั้งสัตว์ก็ไม่สามารถกระทำการที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ มีแต่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเท่านั้นที่มีการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งสัตว์ก็ไม่สามารถก่อให้เกิดหนี้แก่บุคคลใด ๆ ได้ด้วย
- ตามความในวรรคนี้ แม้ความเสียหายจะเกิดจากสัตว์ก็ตาม แต่ผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งเป็นการชำระหนี้แก่บุคคลอื่น ก็คือ เจ้าของสัตว์หรือผู้ดูแลสัตว์
- มาตรานี้ แม้ความเสียหายจะเกิดจากสัตว์ก็ตาม ทั้งเจ้าของสัตว์หรือผู้ดูแลสัตว์ก็ไม่ได้มีการทำละเมิดด้วย แต่เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่น กฎหมายจึงกำหนดให้เจ้าของสัตว์หรือผู้ดูแลสัตว์ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายนั้น ถือเป็นความรับผิดเด็ดขาด หรือ Strict liability ของบุคคลตามกฎหมาย แม้ไม่มีการทำละเมิดเกิดขึ้นก็ตาม เป็นการกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขความเสียหายที่เกิดแก่บุคคลอื่นเท่านั้น
- แต่ถ้าเจ้าของสัตว์หรือผู้ดูแลสัตว์มีการทำละเมิดแก่บุคคลอื่น โดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือในการทำละเมิดแล้ว ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- คำว่า ท่านว่าเจ้าของสัตว์ หมายถึง ผู้เป็นเจ้าของ หรือผู้ที่เลี้ยงสัตว์นั้นไว้เป็นสัตว์เลี้ยงของตน
- คำว่า หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ หมายถึง บุคคลใด ๆ ที่เลี้ยงสัตว์นั้นหรือรักษาสัตว์ไว้แทนเจ้าของ ไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่มีค่าตอบแทน ก็อยู่ในความหมายของวรรคนี้ทั้งสิ้น เช่น สัตวแพทย์ที่กำลังทำการรักษาสัตว์นั้น หรือพนักงานของร้านรับฝากสัตว์เลี้ยง หรือเพื่อนที่เจ้าของสัตว์ฝากให้ดูแลสัตว์นั้นชั่วคราวในระหว่างที่ตนเดินทางไปท่องเที่ยว หรือทำธุระที่อื่น
- คำว่า จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ หมายถึง ถ้าในขณะที่สัตว์นั้นไปทำความเสียหายแก่บุคคลอื่น สัตว์นั้นอยู่ในการดูแลของเจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาคนใดคนหนึ่ง หรือทั้งสองคน เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษา คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายนั้น
- คำว่า ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น หมายถึง บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากสัตว์นั้น แต่วรรคนี้ใช้คำว่า ฝ่าย จึงไม่ได้หมายความเฉพาะบุคคลที่ได้รับความเสียหายเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลอื่น เช่น คนในครอบครัว คือ สามีหรือภริยา หรือลูก หรือหลาน หรือคนที่อยู่ในความดูแลของบุคคลนั้น คือ ลูกศิษย์ หรือคนงานในบ้านของบุคคลนั้นที่อาจได้รับความเสียหายหรือบาดเจ็บจากการทำร้ายของสัตว์นั้นด้วย และรวมถึงความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของบุคคลนั้นด้วย เช่น บ้าน หรือรถ หรือที่ดิน
- คำว่า เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษา หมายถึง เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษา คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน ที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก ได้ใช้ความระมัดระวัง หรือความรอบคอบที่เหมาะสมแก่การเลี้ยงหรือการดูแลรักษาสัตว์นั้นแล้ว
- ตามความในประโยคนี้ เป็นการกำหนดหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ของเจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษา คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน ซึ่งต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก ที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าตนเองได้ใช้ความระมัดระวัง หรือใช้ความรอบคอบที่เหมาะสมแก่การเลี้ยงหรือการดูแลรักษาสัตว์นั้นตามประเภทหรือตามนิสัย หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นแล้ว
- คำว่า ตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หมายถึง
- ตามประเภทของสัตว์ คือ เป็นสัตว์เลี้ยงโดยทั่วไป เช่น สุนัข หรือแมว หรือสัตว์ป่า เช่น เสือ หรือสิงห์โต หรือหมี หรือจระเข้ หรือสัตว์ที่ต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ เช่น ช้าง หรือนกกระจอกเทศ หรืออูฐ หรือลิง
- ตามวิสัย คือ ตามนิสัย หรืออารมณ์ของสัตว์นั้น คือ เป็นสัตว์ที่ไม่ดุร้าย เช่น สุนัข หรือแมว หรือเป็นสัตว์ที่ปกติดุร้ายเสมอ เช่น เสือ หรือสิงห์โต หรือหมี หรือจระเข้ หรือสัตว์ที่ดุร้ายเป็นบางครั้ง เช่น สุนัขบางพันธุ์ หรือช้าง หรือลิง
- คำว่า หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น หมายถึง ตามสภาพแวดล้อม หรือตามสถานการณ์ ที่แตกต่างออกไปจากการเลี้ยงหรือการดูแลรักษาตามปกติ เช่น ในระหว่างการเดินทาง หรือเคลื่อนย้ายสัตว์นั้น หรือในการจัดแสดงสัตว์นั้นให้ประชาชนชม หรือในระหว่างการฝึกซ้อมสัคว์นั้น หรือในระหว่างที่เกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ
- คำว่า หรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น หมายถึง ความเสียหายนั้นไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อในการเลี้ยงหรือการดูแลรักษาสัตว์นั้น ตามประเภทหรือตามนิสัย หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น แต่เกิดจากพฤติการณ์ หรือสถานการณ์อื่นที่ไม่สามารถคาดหมายได้ ซึ่งหากเกิดพฤติการณ์ หรือสถานการณ์อื่นนั้นแล้ว ย่อมมีความเสียหายจากสัตว์นั้นเกิดขึ้น แม้ว่าเจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาจะได้ใช้ความระมัดระวังในการเลี้ยงหรือการดูแลรักษาสัตว์นั้น ตามประเภทหรือตามนิสัย หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม เช่น เกิดจากบุคคลผู้ได้รับเสียหายนั้นเองมายั่ว หรือมาเร้า หรือมาปล่อยสัตว์นั้น หรือเกิดจากมีภัยพิบัติทางธรรมชาติทำให้สัตว์นั้นหลุดออกมาได้ หรือภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นทำให้สัตว์ตื่นตระหนกจนไม่สามารถจะควบคุมได้ ซึ่งการกระทำของบุคคลผู้ได้รับเสียหาย หรือภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นไม่สามารถคาดหมายได้ ดังนั้น ถึงแม้เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาจะได้ใช้ความระมัดระวังในการเลี้ยงหรือการดูแลรักษาสัตว์นั้น ตามประเภทหรือตามนิสัย หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นอย่างดีเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมเกิดความเสียหายขึ้นได้
- แต่ถ้าความเสียหายนั้นเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่นที่มายั่ว หรือมาเร้า หรือมาปล่อยสัตว์นั้น หรือเกิดจากการที่สัตว์อื่นมายั่ว หรือมาเร้า หรือมาปล่อยสัตว์นั้น ดังนี้ เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษายังต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลผู้ได้รับเสียหายนั้นไปก่อน เนื่องจากกรณีนี้ไม่ใช่เป็นความผิดของบุคคลผู้ได้รับเสียหายนั้น แต่เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาสามารถที่จะไปไล่เบี้ยเรียก ค่าสินไหมทดแทนที่ตนเองได้ออกไปคืนจากบุคคลผู้ที่มายั่ว หรือมาเร้า หรือมาปล่อยสัตว์นั้น หรือเจ้าของสัตว์อื่นที่มายั่ว หรือมาเร้า หรือมาปล่อยสัตว์นั้นได้ ตามความในวรรคสอง
- ตามความในประโยคนี้เป็นคนละกรณี กับเรื่องการใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่การเลี้ยงหรือการดูแลรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น
- ตามความในประโยคนี้ เป็นการกำหนดหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ของเจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษา คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน ซึ่งต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก ที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า มีพฤติการณ์ หรือสถานการณ์อื่นที่ไม่สามารถคาดหมายได้เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อเกิดพฤติการณ์ หรือสถานการณ์อื่นนั้นแล้ว ย่อมมีความเสียหายจากสัตว์นั้นเกิดขึ้น แม้ว่าเจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาจะได้ใช้ความระมัดระวังในการเลี้ยงหรือการดูแลรักษาสัตว์นั้น ตามประเภทหรือตามนิสัย หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นเป็นอย่างดีเพียงใดก็ตาม
- ตามความในตอนท้ายของวรรคนี้ เมื่อเจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาได้ใช้ความระมัดระวังในการเลี้ยงหรือการดูแลรักษาสัตว์นั้น ตามประเภทหรือตามนิสัย หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นเป็นอย่างดีแล้ว หรือความเสียหายนั้นเกิดจากพฤติการณ์ที่ไม่สามารถคาดหมายได้ แม้ว่าจะใช้ความระมัดระวังแค่ไหนก็ย่อมเกืดความเสียหายขึ้น ดังนี้ เมื่อเจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาสามารถพิสูจน์ได้เช่นนั้น เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาก็ไม่ต้องรับผิด ทั้งนี้เพราะตามวรรคนี้เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาไม่ได้มีการทำละเมิดแต่อย่างใด จึงไม่มีหนี้ที่ผู้ใดจะต้องรับผิด บุคคลที่ได้รับความเสียหายย่อมต้องรับผลที่เกิดขึ้นนั้นเอง
- แต่แม้ว่า จะไม่มีบุคคลใดต้องรับผิดก็ตาม แต่ถ้าสัตว์ดังกล่าว หากให้เลี้ยง หรือดูแลรักษาไว้ในชุมชน อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นในลักษณะดังกล่าวนี้ได้อีก ย่อมมีกระบวนการในการนำสัตว์นั้นออกไปจากชุมชน ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ตามที่กฎหมายของแต่ละประเทศจะได้กำหนดไว้ต่อไป
- คำว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ หมายถึง สัตว์เลี้ยงของบุคคลใดก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เช่น กัด หรือข่วน หรือทำร้ายบุคคลอื่น รวมถึงทำให้ทรัพย์สินของบุคคลนั้นได้รับความเสียหายด้วย เช่น ทำให้บ้านเสียหาย หรือรถเป็นรอยขีดข่วน
- ตามมาตรา 433 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือมายั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้ หมายความว่า
- คำว่า บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น หมายถึง เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษา คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน ซึ่งต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่ง
- คำว่า วรรคต้น คือ วรรคหนึ่ง ตามปกติในกฎหมายมักไม่ค่อยใช้คำนี้ มักนิยมใช้คำว่า วรรคก่อน หรือมิฉะนั้นก็ระบุชื่อวรรคที่อ้างถึงนั้นเลย เช่น วรรคหนึ่ง หรือวรรคแรก ซึ่งมีใช้เฉพาะแต่ในป.อ. ที่ไม่ใช้คำว่า วรรคหนึ่ง แต่ใช้คำว่า วรรคแรก ส่วนกฎหมายอื่นใช้คำว่า วรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง หรือวรรคสาม
- คำว่า จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ หมายถึง เรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนที่ตนเองได้ออกไปคืน
- การเรียกร้องเงินที่ตนเองได้ออกไปคืนนี้ เรียกกันว่า การไล่เบี้ย
- เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาจะปฏิเสธให้บุคคลภายนอกไปเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้น หรือจากเจ้าของสัตว์ที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้นเสียก่อนไม่ได้
- คำว่า บุคคลผู้ที่เร้าหรือมายั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หมายถึง ผู้ที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้น โดยไม่มีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นได้ หรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- คำว่า ละเมิด คือ ไม่มีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นได้ หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความไปถึงว่า ผู้ที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้น ทำละเมิดต่อต่อบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย โดยใช้สัตว์นั้นเป็นเครื่องมือ ซึ่งไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- คำว่า หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้ หมายถึง เจ้าของสัตว์อื่นที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้น เนื่องจากเจ้าของสัตว์อื่นหรือผู้รับเลี้ยง หรือผู้ดูแลรักษาไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง หรือความรอบคอบที่เหมาะสมแก่การเลี้ยงหรือการดูแลรักษาสัตว์อื่นนั้นให้ดีพอ
- ตามความในวรรคนี้ เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่งไปแล้ว จะไล่เบี้ยเอาค่าสินไหมทดแทนที่ตนออกไปแล้วคืน ได้จากเจ้าของสัตว์ที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์ได้เท่านั้น
- แต่ถ้าสัตว์ที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้น มีผู้รับเลี้ยงรับรักษาสัตว์นั้นเช่นเดียวกัน ดังนี้ เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่งไปแล้ว จะไปไล่เบี้ยเอาจากผู้รับเลี้ยงรับรักษาสัตว์ที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้นไม่ได้
- คำว่า ก็ได้ หมายถึง เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่งไปแล้ว จะไม่ไล่เบี้ยเอาค่าสินไหมทดแทนที่ตนออกไปแล้วคืนก็ได้
- แต่ไม่ได้มีหมายความถึงว่า เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่งไปแล้ว จะไล่เบี้ยเอาค่าสินไหมทดแทนที่ตนออกไปแล้วคืน จากผู้ที่มาเร้าหรือมายั่วหรือมาปล่อยสัตว์นั้น หรือจากเจ้าของสัตว์อื่นที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้น คนใดคนหนึ่งก็ได้ เพราะพฤติการณ์ที่เกิดจากผู้ที่มาเร้าหรือมายั่วหรือมาปล่อยสัตว์นั้น หรือเกิดจากสัตว์อื่นที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้น เป็นคนละกรณีกัน ต้องเรียกจากคนใดคนหนึ่งตามพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
- แต่ถ้ามีบุคคลอื่น และมีสัตว์อื่นที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้นพร้อมกัน ดังนี้ เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาที่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่งไปแล้ว จะเลือกไล่เบี้ยเอาค่าสินไหมทดแทนที่ตนออกไปแล้วคืน จากผู้ที่มาเร้าหรือมายั่วหรือมาปล่อยสัตว์นั้น หรือจากเจ้าของสัตว์อื่นที่มาเร้า หรือมายั่ว หรือมาปล่อยสัตว์นั้น คนใดคนหนึ่ง หรือทั้งสองคนได้
- คำว่า บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น หมายถึง เจ้าของสัตว์ หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษา คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน ซึ่งต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่ง
- ตามมาตรา 434 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่องก็ดี หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายฉะนั้นแล้ว ท่านว่าผู้เป็นเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หมายความว่า
- คำว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หมายถึง โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นของบุคคลใดก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เช่น หล่นมาโดน หรือปลิวมาโดน หรือกระเด็นมาโดนบุคคลอื่น ทำให้บุคคลนั้นได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอันตรายแก่ชีวิต รวมถึงทำให้ทรัพย์สินของบุคคลนั้นเสียหายด้วย เช่น บ้าน หรือรถได้รับความเสียหายบุบสลาย
- โรงเรือน คือ ที่พักอาศัยของบุคคล หรือที่ทำการงาน เช่น บ้านเรือน หรืออาคาร หรือตึก หรือคอนโดมิเนียม
- สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น คือ สถานที่ผลิตสิ่งของ หรือสถานที่เก็บรักษาทรัพย์สิน เช่น โกดัง หรือโรงงาน หรือสิ่งก่อสร้างในลักษณะอย่างอื่น เช่น หอสูงสำหรับเก็บถังน้ำ หรือหอระฆัง หรือหอนาฬิกา หรือหอคอย หรือประภาคาร หรืออนุสาวรีย์ หรือเจดีย์ หรือทางด่วน หรือรางรถไฟฟ้าที่สร้างสูงกว่าระดับพื้นดิน
- คำว่า ก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่องก็ดี หมายถึง ความเสียหายนั้นเกิดจากความชำรุด หรือความบกพร่อง เนื่องมาจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานตามวิธีการก่อสร้าง หรือใช้วัสดุไม่มีคุณภาพ
- ชำรุด คือ ความเสื่อมสภาพไปจากเดิม
- บกพร่อง คือ ไม่ครบถ้วน หรือไม่สมบูรณ์ หรือไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเต็มความสามารถ
- คำว่า หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี หมายถึง ขาดการดูแลรักษา หรือดูแลรักษาไม่ดีพอ หรือดูแลรักษาไม่ได้มาตรฐาน
- คำว่า ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ หมายถึง ผู้ครอบครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในขณะเกิดการทำละเมิดนั้น ไม่ว่าจะเป็นการครอบครองเพียงชั่วคราว เช่น ผู้เช่า หรือผู้เช่าซื้อ หรือครอบครองเป็นระยะเวลานาน เช่น ผู้ทรงสิทธิอาศัย หรือผู้ทรงสิทธิเก็บกิน
- คำว่า จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หมายถึง ผู้ครอบครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในขณะเกิดการทำละเมิด เป็นผู้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 438 ให้แก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายนั้น
- คำว่า แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร หมายถึง ผู้ครอบครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในขณะเกิดการทำละเมิดได้ใช้ความรอบคอบ หรือความใส่ใจในการดูแลรักษาโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างวิญญูชนหรือบุคคลทั่วไปใช้ความรอบคอบในการดูแลรักษาโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างของตนเองแล้ว
- ตามความในประโยคนี้ เป็นการกำหนดหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ของผู้ครอบครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในขณะเกิดการทำละเมิดว่า ตนเองได้ใช้ความรอบคอบ หรือความใส่ใจในการดูแลรักษาโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น อย่างวิญญูชนหรือบุคคลทั่วไปในการดูแลรักษาโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว
- คำว่า เพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายฉะนั้นแล้ว หมายถึง ความรอบคอบ หรือความใส่ใจในการดูแลรักษาอย่างวิญญูชนหรือบุคคลทั่วไปใช้ความรอบคอบในการดูแลรักษาโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างของตนเอง ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเพื่อความสะดวกสบายในการใช้โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างของตนเองเท่านั้น แต่ยังต้องใช้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายหรือเกิดอันตรายจากโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นแก่ตนเอง และแก่บุคคลอื่นด้วย
- คำว่า ท่านว่าผู้เป็นเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หมายถึง เมื่อผู้ครอบครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในขณะเกิดการทำละเมิดพิสูจน์ได้ว่า ตนเองได้ใช้ความรอบคอบ หรือความใส่ใจในการดูแลรักษาโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น อย่างวิญญูชนหรือบุคคลทั่วไปในการดูแลรักษาโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว เจ้าของกรรมสิทธิ์โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ต้องเป็นผู้ใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่บุคคลภายนอกในทุกกรณี ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดได้
- กรณีตามวรรคนี้ จึงแตกต่างจากความรับผิดของเจ้าของสัตว์หรือผู้รับเลี้ยง หรือผู้ดูแลรักษา ตามมาตรา 433 ซึ่งได้ใช้ความระมัดระวัง หรือความรอบคอบที่เหมาะสมแก่การเลี้ยงหรือการดูแลรักษาสัตว์นั้นอย่างดีแล้ว ก็ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอก
- มาตรานี้ แม้ความเสียหายจะเกิดจากโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือต้นไม้หรือกอไผ่ก็ตาม ทั้งผู้ครอบครอง หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือต้นไม้ หรือกอไผ่นั้น ก็ไม่ได้มีการทำละเมิดด้วย แต่เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่น กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ครอบครอง หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายนั้น ถือเป็นความรับผิดเด็ดขาด หรือ Strict liability ของบุคคลตามกฎหมาย แม้ไม่มีการทำละเมิดเกิดขึ้นก็ตาม เป็นการกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขความเสียหายที่เกิดแก่บุคคลอื่นเช่นเดียวกับมาตรา 433
- คำว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หมายถึง โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นของบุคคลใดก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เช่น หล่นมาโดน หรือปลิวมาโดน หรือกระเด็นมาโดนบุคคลอื่น ทำให้บุคคลนั้นได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอันตรายแก่ชีวิต รวมถึงทำให้ทรัพย์สินของบุคคลนั้นเสียหายด้วย เช่น บ้าน หรือรถได้รับความเสียหายบุบสลาย
- ตามมาตรา 434 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงความบกพร่องในการปลูกหรือค้ำจุนต้นไม้หรือกอไผ่ด้วย หมายความว่า
- คำว่า บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึง หมายถึง ให้ใช้ความในวรรคก่อนนั้น บังคับกับ
- คำว่า ความบกพร่องในการปลูกหรือค้ำจุน หมายถึง การไม่ได้มาตรฐาน หรือความไม่รอบคอบ หรือความไม่ระมัดระวัง ในการปลูกต้นไม้ หรือพยุง หรือค้ำกิ่งไม้ ทำให้ต้นไม้นั้นเอียง หรือล้มไปทับ หรือหัก หรือหล่นใส่ หรือปลิวไปโดน หรือกิ่งของต้นไม้นั้นเสียดสีกันจนทำให้เกิดไฟลุกไหม้บุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือทำให้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย
- การปลูก ไม่ได้หมายเฉพาะในการปลูกตั้งแต่ยังเป็นเมล็ด หรือยังเป็นต้นไม้ต้นเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง การขุดต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือที่โตเต็มที่มาหลายปีแล้ว นำมาใส่หรือวางลงในหลุมที่เตรียมไว้ในที่อื่นด้วย
- คำว่า ต้นไม้หรือกอไผ่ด้วย หมายถึง ต้นไม้ทั่ว ๆ ไป ที่คนนิยมปลูก และรวมทั้งกอไผ่ ไม่ว่าจะมีขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่เท่าใด ก็อยู่ในความหมายนี้ทั้งสิ้น
- ต้นไม้ ก็ไม่ได้จำกัดว่า เป็นต้นไม้ประเภทใด ดังนั้น จึงหมายรวมทั้ง ต้นไม้ยืนต้น หรือต้นไม้เลื้อยประเภทต่าง ๆ หรือต้นไม้ที่มีอายุไม่นานด้วย
- ตามความในวรรคนี้ หมายความเฉพาะแต่ต้นไม้ หรือกอไผ่ หรือกิ่ง หรือใบของต้นไม้ หรือกอไผ่เท่านั้น ไม่ได้หมายรวมถึง กระถางต้นไม้ หรือกอไผ่ ซึ่งถือเป็นสิ่งของตกหล่นจากโรงเรียน ตามความหมายของมาตรา 436
- ตามมาตรา 434 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่กล่าวมาในสองวรรคข้างต้นนั้น ถ้ายังมีผู้อื่นอีกที่ต้องรับผิดชอบในการก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วยไซร้ ท่านว่าผู้ครองหรือเจ้าของจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้นั้นก็ได้ หมายความว่า
- คำว่า ในกรณีที่กล่าวมาในสองวรรคข้างต้นนั้น หมายถึง ในกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง
- คำว่า ถ้ายังมีผู้อื่นอีกที่ต้องรับผิดชอบในการก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วยไซร้ หมายถึง มีผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกขึ้น ไม่ว่าจะโดยตรง หรือโดยทางอ้อม เช่น ผู้รับจ้างในการก่อสร้าง ตามมาตรา 428 หรือวิศวกร หรือสถาปนิก หรือผู้ขายต้นไม้หรือกอไผ่ หรือผู้รับจ้างตกแต่งสวน หรือผู้รับจ้างในการนำต้นไม้หรือกอไผ่มาปลูก หรือผู้ที่มาซ่อมแซมโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือผู้ที่มาตัดต้นไม้หรือกอไผ่ หรือผู้รับจ้างในการค้ำจุนกิ่งของต้นไม้หรือกอไผ่ หรือผู้ที่ทำให้เกิดความชำรุดบกพร่องแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นนั้น
- แต่ผู้อื่นที่ต้องรับผิดดังกล่าวนั้น ต้องไม่ใช่ผู้ที่ทำละเมิดแก่บุคคลภายนอกโดยใช้โรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือต้นไม้ หรือกอไผ่ เป็นเครื่องมือในการทำละเมิดแก่บุคคลภายนอก ซึ่งไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- คำว่า ท่านว่าผู้ครองหรือเจ้าของจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้นั้นก็ได้ หมายถึง ถ้าผู้ครอบครอง หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่ง หรือวรรคสองไปแล้ว สามารถจะไล่เบี้ยเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนที่ตนออกไปแล้วนั้น คืนจากผู้อื่นที่ต้องรับผิดดังกล่าวมาแล้วข้างต้นได้
- คำว่า ก็ได้ หมายถึง ผู้ครอบครอง หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่ง หรือวรรคสองไปแล้ว จะไม่ไล่เบี้ยเอาค่าสินไหมทดแทนที่ตนออกไปแล้วคืนก็ได้ เป็นความหมายเดียวกับมาตรา 432 วรรคสอง
- ตามความในวรรคนี้ แม้ว่าจะมีผู้อื่นที่ต้องรับผิดดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ผู้ครอบครอง หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ก็ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกตามวรรคหนึ่ง หรือวรรคสองไปก่อน แล้วจึงค่อยมาไล่เบี้ยเอาแก่ผู้อื่นที่ต้องรับผิดดังกล่าวมาแล้วนั้น
- ผู้ครอบครอง หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นจะปฏิเสธให้บุคคลภายนอกไปเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้อื่นที่ต้องรับผิดดังกล่าวมาแล้วน้นเสียก่อนไม่ได้ เป็นความหมายเดียวกับมาตรา 432 วรรคสอง
- ตามมาตรา 436 ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร หมายความว่า
- คำว่า บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือน หมายถึง ผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พักอาศัยอยู่ในโรงเรือนขณะเกิดความเสียหายนั้น รวมถึงผู้อยู่อาศัยในโรงเรือนซึ่งอยู่ในความดูแล หรืออยู่ในครอบครัวของผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์โรงเรือนนั้นด้วย เช่น สามีหรือภริยา หรือลูก หรือหลาน หรือคนงานของผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซึ่งพักอยู่กับผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนนั้น
- ซึ่งอาจเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง เช่น ผู้เช่า หรือผู้เช่าซื้อ หรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือน คนใดคนหนึ่ง หรือทั้งสองคนก็ได้ ถ้าเจ้าของกรรมสิทธิ์แบ่งบางส่วนของโรงเรือนนั้นให้ผู้อื่นเช่า และเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็ยังพักอาศัยอยู่ในโรงเรือนนั้นด้วย
- คำว่า โรงเรือน ไม่ได้มีความหมายเฉพาะ ที่พักอาศัยของบุคคลเท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่มีลักษณะคล้ายกับโรงเรือนที่คนสามารถพักอาศัยอยู่ได้ด้วย เช่น โรงงานผลิตสินค้า หรือโกดังเก็บสินค้า หรือโบสถ์ หรือวิหาร หรือศาลาการเปรียญ แต่ไม่ได้หมายถึง สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่คนพักอาศัยไม่ได้ เช่น อนุสาวรีย์ หรือเจดีย์
- คำว่า ต้องรับผิดชอบในความเสียหาย หมายถึง ผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ครอบครอง หรืออาศัยอยู่ในโรงเรือนขณะเกิดความเสียหายนั้น ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 แก่บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย
- คำว่า อันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น หมายถึง ความเสียหายที่เกิดแก่บุคคลภายนอกนั้น เกิดเพราะมีสิ่งของ หรือส่วนประกอบของโรงเรือนนั้นตกหล่นไปใส่หรือไปโดนบุคคลภายนอกได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือทำให้ทรัพย์สิน เช่น บ้าน หรือรถ หรือเอกสารของบุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย
- คำว่า ของตกหล่น หมายถึง สิ่งของที่ตั้งอยู่ในโรงเรือนนั้น ไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม เช่น โต๊ะ หรือตู้ หรือโซฟา หรือเครื่องเรือนอย่างอื่น อาจไม่จำต้องตั้งอยู่ที่ริมระเบียงเสมอไป รวมถึงชิ้นส่วน หรือส่วนประกอบของโรงเรือนนั้นด้วย เช่น กระเบื้องหลังคา หรือหน้าต่าง หรือราวเหล็กกั้นระเบียง หรือบันไดหนีไฟที่ติดตั้งอยู่นอกอาคาร หรือเครื่องปรับอากาศซึ่งติดตั้งอยู่ที่ผนังนอกอาคาร
- คำว่า หรือเพราะทิ้งขว้างของ หมายถึง สิ่งที่ตกหรือทิ้งหรือเทออกจากโรงเรือนนั้น เช่น น้ำฝนที่ระบายทิ้งจากหลังคา หรือกันสาด หรือระเบียง หรือขยะ หรือวัสดุก่อสร้างที่ถูกรื้อออกหรือไม่ใช้แล้ว และถูกทิ้งหรือเทออกจากโรงเรือนนั้น ซึ่งตามปกติอาจมีรางระบายน้ำ หรือมีท่อหรือปล่อง สำหรับระบายน้ำฝน หรือทิ้งขยะ หรือวัสดุก่อสร้างนั้น โดยเฉพาะอยู่แล้ว
- ตามความในประโยคนี้ ต้องไม่มีการทำละเมิดของบุคคลใด คือ ต้องไม่มีการจงใจทิ้ง หรือเป็นการทิ้งโดยประมาทของผู้ครอบครอง หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้อยู่อาศัยในโรงเรือน อันเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 ซึ่งไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- คำว่า ขว้าง เป็นคำสร้อยของคำว่า ทิ้ง ไม่ได้หมายถึง การตั้งใจเหวี่ยง หรือโยนออกไป ตามความหมายปกติ
- มาตรานี้ แม้ความเสียหายจะเกิดจากสิ่งของตกหล่น หรือทิ้งจากโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นในลักษณะเดียวกับโรงเรือนก็ตาม ทั้งผู้ครอบครอง หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้าง หรือผู้อยู่อาศัยในโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ก็ไม่ได้มีการทำละเมิดด้วย แต่เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่น กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ครอบครอง หรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายนั้น ถือเป็นความรับผิดเด็ดขาด หรือ Strict liability ของบุคคลตามกฎหมาย แม้ไม่มีการทำละเมิดเกิดขึ้นก็ตาม เป็นการกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขความเสียหายที่เกิดแก่บุคคลอื่นเช่นเดียวกับมาตรา 433 และมาตรา 434
- คำว่า ไปตกในที่อันมิควร หมายถึง ไปตกในสถานที่ซึ่งไม่ได้มีไว้สำหรับทิ้งสิ่งของนั้นโดยเฉพาะ เช่น แม้มีรางระบายน้ำสำหรับระบายน้ำฝนจากหลังคา หรือกันสาด หรือระเบียงเพื่อทิ้งลงท่อน้ำทิ้งด้านล่าง หรือมีท่อ หรือปล่องสำหรับทิ้งขยะ หรือวัสดุก่อสร้างที่ไม่ใช้นั้น เพื่อทิ้งลงถังขยะด้านล่างโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่น้ำฝนที่ระบาย หรือขยะ หรือวัสดุก่อสร้างที่ไม่ใช้แล้วนั้น มีจำนวนมากเกินกว่าที่รางระบายน้ำ หรือท่อ หรือปล่องสำหรับทิ้งนั้น จะสามารถระบายหรือถ่ายเทได้ทัน จึงทำให้มีน้ำฝน หรือขยะ หรือวัสดุก่อสร้างบางส่วน ล้นจากรางระบายน้ำ หรือท่อ หรือปล่องนั้น กระเด็นใส่ หรือตกใส่ หรือโดนบุคคลภายนอกได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือทำให้ทรัพย์สิน เช่น บ้าน หรือรถ หรือเอกสารของบุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย
- คำว่า ในที่อันมิควร หมายถึง ที่อื่น ๆ ทั่วไป ไม่ได้หมายถึง สถานที่แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังหมายรวมถึง บุคคล หรือทรัพย์สินของบุคคลด้วย เป็นความหมายในทางตรงกันข้ามกับสถานที่ซึ่งมีไว้สำหรับทิ้งสิ่งของนั้นโดยเฉพาะ เช่น ท่อระบายน้ำ หรือท่อน้ำทิ้ง หรือถังขยะ
- คำว่า บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือน หมายถึง ผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พักอาศัยอยู่ในโรงเรือนขณะเกิดความเสียหายนั้น รวมถึงผู้อยู่อาศัยในโรงเรือนซึ่งอยู่ในความดูแล หรืออยู่ในครอบครัวของผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์โรงเรือนนั้นด้วย เช่น สามีหรือภริยา หรือลูก หรือหลาน หรือคนงานของผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซึ่งพักอยู่กับผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนนั้น
- ตามมาตรา 437 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใด ๆ อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง หมายความว่า
- คำว่า บุคคลใด หมายถึง บุคคลธรรมดา ไม่ได้ถึงนิติบุคคล
- คำว่า ครอบครอง หมายถึง ยึดถือ หรือหวงกัน หรือคุ้มครอง หรือใช้ประโยชน์
- ในกรณีนี้ไม่ได้หมายถึง การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซึ่งนิติบุคคลก็ย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ยานพาหนะในข้อความถัดไปได้ แต่หมายถึง การยึดถือ หรือหวงกัน หรือคุ้มครอง หรือใช้ประโยชน์ตามความเป็นจริง หากเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ได้ครอบครองยานพาหนะนั้นอยู่ด้วย ในขณะที่เกิดความเสียหาย เจ้าของกรรมสิทธิ์ในยานพาหนะนั้น ย่อมถือเป็นผู้ครอบครอง ตามความหมายในวรรคนี้
- คำว่า ควบคุมดูแล หมายถึง สั่งการในการขับเคลื่อน หรือขับเคลื่อน หรือขับขี่
- ดูแล เป็นคำสร้อยของคำว่า ควบคุม ไม่ได้หมายความถึง การรักษา ตามความหมายปกติ
- คำว่า ยานพาหนะอย่างใด ๆ หมายถึง วัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์ที่นำหรือพาคนให้เดินทางหรือเคลื่อนย้ายไปในที่ใด ๆ ตามความต้องการได้ ในกรณีนี้ไม่ได้หมายถึง สัตว์สำหรับขี่
- คำว่า อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล หมายถึง วัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์ที่นำหรือพาคนให้เดินทางหรือเคลื่อนย้ายไปนั้น จะต้องขับเคลื่อน หรือเคลื่อนที่ไปด้วยแรงหรือกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์ หรือเครื่องจักร ไม่ว่าเครื่องยนต์ หรือเครื่องจักรนั้นจะใช้พลังงานมาจากภายในวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น ที่เรียกว่า เครื่องยนต์สันดาปภายใน เช่น เครื่องยนต์เบนซิน หรือเครื่องยนต์ดีเซล หรือได้มาจากภายนอกวัตถุ หรือหรือสิ่งประดิษฐ์ ที่เรียกว่า เครื่องยนต์สันดาปภายนอก เช่น เครื่องจักรไอน้ำ ก็อยู่ในความหมายนี้
- รวมทั้งพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น อาจไม่ได้ติดตั้งเครื่องยนต์ หรือเครื่องจักรในการขับเคลื่อนมาตั้งแต่ต้น เช่น เรือพายธรรมดา แต่เพิ่งมีการดัดแปลงนำเครื่องยนต์มาติดตั้งในภายหลัง เช่น เรือหางยาว หรือรถสามล้อที่มีการดัดแปลงติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดเล็กในภายหลัง ที่เรียกว่า สกายแลป หรือรถไถนาที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดเล็กในภายหลังแล้วนำมาพ่วงกับกระบะให้สามารถโดยสารได้ ที่เรียกว่า รถไถเดินตามดัดแปลง ก็อยู่ในความหมายนี้เช่นกัน
- คำว่า บุคคลนั้น หมายถึง ผู้ครอบครอง หรือผู้ควบคุม คนใดคนหนึ่ง หรือทั้งสองคน
- คำว่า จะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น หมายถึง ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกที่ต้องเสียหาย ในความเสียหายที่เกิดจากพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น
- ความเสียหาย หมายถึง ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ของพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น ชำรุดบกพร่องหรือเสื่อมสภาพจากการใช้งานตามปกติ แต่ยังไม่ถึงกำหนดเวลาที่ต้องเปลี่ยน หรือเกิดจากเหตุที่ไม่สามารถคาดหมายได้อย่างอื่น แม้ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์นั้นจะยังใช้งานมาได้ไม่นานนัก จนเป็นเหตุให้พาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น พุ่งชน หรือทับ หรือกระแทกใส่ หรือเบียด หรือพลิกคว่ำจนบุคคลภายนอกได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือทำให้ทรัพย์สิน เช่น บ้าน หรือรถ ของบุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย
- แต่ถ้าการชำรุดบกพร่องของชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ของพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น เกิดจากความประมาทในการดูแลรักษา หรือซ่อมแซม หรือเกิดจากการจงใจทำให้ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ของพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้นเสียหายเพื่อให้เกิดความเสียหายขึ้นกับบุคคลภายนอกแล้ว ย่อมเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 ซึ่งไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น อาจอยู่ภายนอก หรือภายในพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้นก็ได้
- หากในขณะที่เกิดความเสียหาย มีเพียงผู้ครอบครอง หรือผู้ควบคุม เพียงคนเดียวเป็นผู้สั่งการขับเคลื่อนพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น ผู้ครอบครอง หรือผู้ควบคุมนั้น ย่อมต้องเป็นผู้รับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกที่ต้องเสียหายนั้น
- แต่ถ้าในขณะที่เกิดความเสียหายนั้น มีทั้งผู้ครอบครอง และผู้ควบคุม เป็นผู้สั่งการขับเคลื่อนพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้นทั้งสองคน ทั้งผู้ครอบครอง และผู้ควบคุมต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกที่ต้องเสียหาย
- แม้ว่าในขณะที่เกิดความเสียหาย ผู้ครอบครองจะไม่ได้เป็นผู้สั่งการขับเคลื่อนพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น คงมีแต่ผู้ควบคุมเป็นผู้สั่งการขับเคลื่อนพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้นเพียงคนเดียว หรือผู้ครอบครองจะร่วมเป็นผู้สั่งการขับเคลื่อนด้วยก็ตาม แต่ผู้ครอบครองก็ยังครอบครอง หรือใช้ประโยชน์อยู่ด้วยในหรือบนพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น ดังนี้ ทั้งผู้ครอบครอง และผู้ควบคุมก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกที่ต้องเสียหาย ตามความหมายในวรรคนี้
- ความเสียหาย หมายถึง ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ของพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น ชำรุดบกพร่องหรือเสื่อมสภาพจากการใช้งานตามปกติ แต่ยังไม่ถึงกำหนดเวลาที่ต้องเปลี่ยน หรือเกิดจากเหตุที่ไม่สามารถคาดหมายได้อย่างอื่น แม้ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์นั้นจะยังใช้งานมาได้ไม่นานนัก จนเป็นเหตุให้พาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น พุ่งชน หรือทับ หรือกระแทกใส่ หรือเบียด หรือพลิกคว่ำจนบุคคลภายนอกได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือทำให้ทรัพย์สิน เช่น บ้าน หรือรถ ของบุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย
- คำว่า เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่ หมายถึง ผู้ครอบครอง หรือผู้ควบคุมที่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกที่ต้องเสียหายสามารถพิสูจน์ หรือนำสืบพยานหลักฐานให้เห็นได้ว่า
- ตามความในประโยคนี้ เป็นการกำหนดหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ของผู้ครอบครอง หรือผู้ควบคุมที่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกที่ต้องเสียหาย จะต้องเป็นผู้พิสูจน์ หรือนำสืบพยานหลักฐานว่า ความเสียหายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัย หรือเกิดจากความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้น ตามข้อความถัดไป
- คำว่า เหตุสุดวิสัย หมายถึง ภัยที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น พายุ หรือน้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว ตามความหมายในมาตรา 8
- คำว่า หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง หมายถึง ความเสียหายตามความในวรรคนี้เกิดจากการกระทำของผู้เสียหายนั้นเอง เช่น ผู้เสียหายแอบดัดแปลงหรือถอดชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ของเบรกหรือห้ามล้อของรถยนต์ของเพื่อนออก จนทำให้เบรกหรือห้ามล้อของรถยนต์นั้น ชำรุดบกพร่องหรือไม่มีสำหรับหยุดการเคลื่อนที่ หรือห้ามล้อรถยนต์ได้ เมื่อผู้เสียหายติดเครื่องยนต์รถยนต์คันดังกล่าว รถยนต์จึงพุ่งชน หรือทับ หรือกระแทกใส่ผู้เสียหายเสียเอง
- ตามความในวรรคนี้ ต้องไม่มีการทำละเมิดของบุคคลใด คือ ต้องไม่มีการกระทำโดยจงใจหรือการกระทำโดยประมาทของผู้ครอบครอง หรือผู้ควบคุมสั่งการขับเคลื่อนพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์นั้น อันเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 ซึ่งไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- มาตรานี้ แม้ความเสียหายจะเกิดจากยานพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์ หรือทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดอันตรายได้ตามความในวรรคสอง ทั้งผู้ครอบครอง หรือผู้ควบคุมสั่งการขับเคลื่อนยานพาหนะ หรือวัตถุ หรือสิ่งประดิษฐ์ หรือทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดอันตรายได้นั้น ก็ไม่ได้มีการทำละเมิดด้วย แต่เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่น กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ครอบครอง หรือผู้ควบคุมสั่งการขับเคลื่อนต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายนั้น ถือเป็นความรับผิดเด็ดขาด หรือ Strict liability ของบุคคลตามกฎหมาย แม้ไม่มีการทำละเมิดเกิดขึ้นก็ตาม เป็นการกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขความเสียหายที่เกิดแก่บุคคลอื่นเช่นเดียวกับมาตรา 433 , มาตรา 434 และมาตรา 436
- ตามมาตรา 437 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงบุคคลผู้มีไว้ในครอบครองของตน ซึ่งทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ หรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ หรือโดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นด้วย หมายความว่า
- คำว่า ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึง หมายถึง ตามความที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ให้นำมาใช้บังคับแก่ข้อความถัดไปด้วย
- คำว่า บุคคลผู้มีไว้ในครอบครองของตน หมายถึง บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่มีของซึ่งทำให้เกิดอันตรายได้ไว้ในครอบครอง
- คำว่า ซึ่งทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้ หมายถึง ทรัพย์สินที่มีไว้ในครอบครองนั้น สามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้ เช่น วัตถุมีคมต่าง ๆ หรืออาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด หรือน้ำมัน หรือแก๊ส หรือกระแสไฟฟ้า หรือวัตถุมีพิษ หรือวัตถุกัมตภาพรังสีต่าง ๆ
- แต่ไม่หมายถึง สัตว์มีพิษ เช่น งูพิษ หรือแมงป่อง หรือตะขาบที่บุคคลเลี้ยงไว้ ซึ่งอยู่ในความหมายของมาตรา 433
- คำว่า โดยสภาพ หมายถึง วัตถุนั้นสามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้โดยองค์ประกอบ หรือตัวของวัตถุนั้นเอง เช่น วัตถุมีคมต่าง ๆ หรืออาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด หรือน้ำมัน หรือแก๊ส หรือกระแสไฟฟ้า หรือวัตถุมีพิษ หรือวัตถุกัมตภาพรังสีต่าง ๆ
- คำว่า หรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ หมายถึง ตามองค์ประกอบ หรือตัวของวัตถุนั้น ไม่สามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้ แต่เมื่อมีการใช้วัตถุนั้น อาจทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้ เช่น แบตเตอรี่ปกติไม่มีอันตราย แต่เมื่อใช้สร้างกระแสไฟฟ้าอาจร้อนจนระเบิดได้ หรือหม้อต้มน้ำในโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อยังไม่ได้ใช้ ไม่มีอันตรายใด ๆ แต่เมื่อใช้ต้มน้ำจะเกิดความดันจนอาจทำให้เกิดระเบิดได้ หรือเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า เมื่อยังไม่ได้ใช้ไม่มีอันตรายใด ๆ แต่เมื่อต่อกระแสไฟฟ้าเข้าแล้ว อาจเกิดกระแสไฟฟ้ารั่ว หรือหม้อต้มน้ำภายในเครื่องระเบิดทำอันตรายแก่ผู้อื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้
- คำว่า หรือโดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นด้วย หมายถึง ตามองค์ประกอบ หรือตัวของวัตถุนั้น ไม่สามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้ แต่เมื่อมีการใช้วัตถุนั้น กลไกในขณะทำงานของวัตถุ หรือเครื่องจักร หรือเครื่องยนต์นั้นอาจทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้ เช่น บันไดเลื่อนในห้างสรรพสินค้า ในขณะที่ไม่ได้ใช้ก็ไม่มีอันตรายใด ๆ แต่เมื่อมีการทำงาน กลไกหรือขั้นบันได หรือราวบันไดหรือราวมือ ( Handrill) สำหรับให้ผู้ใช้บันไดเลื่อนใช้มือจับนั้นหมุน สามารถดึงเสื้อผ้า หรือรองเท้า หรือเส้นผม หรือนิ้วมือของผู้ใช้บันไดเลื่อนเข้าไป ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้บันไดเลื่อน หรือทรัพย์สินของผู้ใช้บันไดเลื่อนได้
- วัตถุ หรือเครื่องมือ หรือเครื่องจักรที่ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้โดยสภาพ หรือเมื่อมีการใช้วัตถุนั้น หรือโดยอาการกลไกของวัตถุหรือเครื่องมือ หรือเครื่องจักรนั้น ซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสองอย่าง หรือทั้งสามอย่างที่กล่าวมาแล้ว ก็ถือเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้ ตามความหมายในวรรคนี้แล้ว
- ซึ่งตามวรรคนี้ บุคคลที่มีทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดอันตรายได้ไว้ในครอบครอง ก็สามารถพิสูจน์ว่า ความเสียหายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัย หรือเกิดจากความผิดของผู้เสียหายนั้นเอง ตามความในวรรคหนึ่งได้เช่นเดียวกัน
- ตามความในวรรคนี้ ก็ต้องไม่มีการทำละเมิดของบุคคลใด คือ ต้องไม่มีการกระทำโดยจงใจหรือการกระทำโดยประมาทของบุคคลที่มีทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดอันตรายได้ไว้ในครอบครอง หรือผู้ควบคุมการทำงานของวัตถุ หรือเครื่องมือ หรือเครื่องจักรที่ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้นั้น อันเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 ซึ่งไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- ตามมาตรา 438 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด หมายความว่า
- คำว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้ หมายถึง เงิน หรือการกระทำ หรือวิธีการที่ผู้ทำละเมิดต้องใช้หรือต้องกระทำเพื่อแก้ไขความเสียหายซึ่งบุคคลที่ถูกทำละเมิดได้รับ
- คำว่า ค่าสินไหมทดแทน ตามความในวรรคนี้ ไม่ได้ถึงเงินเพียงอย่างเดียวแต่ยังหมายรวมถึง การกระทำหรือวิธีการที่จะให้ผู้ทำละเมิดกระทำเพื่อชดเชย หรือเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำละเมิด เพื่อให้ผู้ถูกทำละเมิดคืนสู่ฐานะ หรือสภาพที่เป็นอยู่ก่อนถูกทำละเมิดให้มากที่สุดด้วย เช่น การประกาศขอโทษผู้ถูกทำละเมิดในหนังสือพิมพ์ หรือการกล่าวขอโทษต่อหน้าศาล หรือการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของผู้ถูกทำละเมิด ก็ถือเป็นค่าสินไหมทดแทนเช่นเดียวกัน
- ตามวรรคนี้ ถือเป็นหลักในการพิจารณากำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกทำละเมิดว่า ศาลสามารถจะกำหนดค่าสินไหมทดแทนในลักษณะใด และเป็นจำนวนเท่าใดได้ ส่วนมาตราถัดจากนี้ไปจนถึงมาตรา 447 เป็นเพียงมาตราที่ขยายความเรื่องค่าสินไหมทดแทน สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในกรณีต่าง ๆ ให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้นกว่ามาตรานี้เท่านั้น
- หากกำหนดค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ผู้ถูกทำละเมิดย่อมขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ตามมาตรา 7 จากเงินค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวได้ด้วย
- คำว่า โดยสถานใด หมายถึง จะใช้กันอย่างไร หรือโดยวิธีใดบ้าง เช่น ใช้เป็นเงินโดยแบ่งชำระเป็นงวด ๆ งวดแรกเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของความเสียหายทั้งหมด ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด ๆ แต่ละงวดเป็นจำนวนร้อยละ 10 ของความเสียหายทั้งหมด ไม่เกิน 5 งวด หรือใช้เป็นเงินจำนวนหนึ่ง และประกาศหนังสือพิมพ์ขอโทษผู้ถูกทำละเมิดเป็นเวลา 7 วัน ด้วย หรือให้จ่ายค่าเลี้ยงดูและค่าการศึกษาแก่บุตรผู้ถูกทำละเมิดจนกว่าจะอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์
- คำว่า เพียงใด หมายถึง เป็นจำนวนเท่าใด หรือเป็นระยะเวลานานเท่าใด เช่น ให้จ่ายค่าเลี้ยงและค่าการศึกษาแก่บุตรของผู้ถูกทำละเมิด โดยจ่ายเป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท และค่าการศึกษาเท่าที่ได้ออกไปจริงจนกว่าจะอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ หรือกำหนดให้จ่ายเป็นเงิน 100,000 บาท หรือให้ลงประกาศขอโทษผู้ถูกทำละเมิดในหนังสือพิมพ์ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน หรือให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของผู้ถูกทำละเมิดภายในเวลา 30 วัน
- คำว่า ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่ หมายถึง ให้ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อชดเชย หรือเยียวยาความเสียหายเท่าที่ผู้ถูกทำละเมิดได้รับความเสียหายจริง หรือตามข้อตกลงที่คู่ความได้ตกลงกัน และศาลเห็นว่าข้อตกลงนั้นพอสมควรแก่ความเสียหายซึ่งผู้ถูกทำละเมิดได้รับ
- ตามวรรคนี้บัญญัติให้ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อชดเชย หรือเยียวยาความเสียหายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น เนื่องจากถือว่าการทำละเมิดเป็นการก่อหนี้ในลักษณะหนึ่ง ซึ่งลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามจำนวนที่เป็นหนี้กันจริงเท่านั้น ไม่ได้บัญญัติให้ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อเป็นการลงโทษแก่ผู้ทำละเมิด หรือ Punitive Damages สำหรับการทำละเมิดที่เกิดขึ้นนั้นแต่อย่างใด ดังนั้น ที่ผ่านมาศาลไทยมักจะกำหนดค่าสินไหมมดแทนให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเท่านั้น ไม่เคยกำหนดค่าสินไหมมดแทนเป็นจำนวนสูงมากเกินกว่าความเป็นจริงแต่อย่างใด
- คำว่า พฤติการณ์ หมายถึง ลักษณะหรือการกระทำที่ทำให้เกิดการละเมิด หรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับตัวผู้ทำละเมิดหรือตัวผู้ถูกทำละเมิด หรือสภาพแวดล้อมภายนอกในขณะเกิดการทำละเมิด หรือ Objective เช่น เป็นการทำละเมิดต่อผู้หญิงและเด็ก หรือเป็นการทำละเมิดที่ผู้ทำละเมิดไม่ได้ใส่ใจในความปลอดภัยของผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย หรือเป็นการลักอาหารเนื่องจากผู้ทำละเมิดอดอาหารมาหลายวันแล้ว หรือเหตุละเมิดเกิดขึ้นเนื่องจากฝนตกหนัก และเป็นเวลาค่ำ ซึ่งผู้ทำละเมิดเป็นหญิงต้องรีบขับรถกลับบ้านเพื่อไปดูแลบุตรที่อยู่ที่บ้านเพียงลำพัง จึงเกิดเฉี่ยวชนกับรถของผู้ถูกทำละเมิด
- คำว่า พฤติการณ์ ตามความในวรรคนี้ เมื่ออ่านรวมกับข้อความถัดไป หมายถึง พฤติการณ์แห่งละเมิด
- พฤติการณ์ ตามความในวรรคนี้ ไม่ได้หมายความว่า การกระทำของผู้ทำละเมิดเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดละเมิดอย่างร้ายแรงเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง การกระทำของผู้ทำละเมิดเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดละเมิดขึ้นเพียงเล็กน้อย หรือเป็นการทำละเมิดด้วยความเข้าใจผิด หรือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วย
- คำว่า และความร้ายแรงแห่งละเมิด หมายถึง ความรุนแรงของการละเมิด หรือจำนวนความเสียหายที่เกิดจากการทำละเมิด หรือจำนวนผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิด เช่น ผู้ทำละเมิดมีจำนวนหลายคนเข้าชกต่อยทำร้ายผู้ถูกทำละเมิดเพียงคนเดียวที่ป้ายรถเมล์ในขณะที่มีคนกำลังรอรถเมล์อยู่เป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นการกระทำโดยอุกอาจในที่สาธารณะต่อหน้าคนเป็นจำนวนมาก หรือผู้ทำละเมิดขับรถด้วยความเร็วสูงด้วยความคึกคะนองในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น จึงทำให้เกิดการเฉี่ยวชนกับรถเป็นจำนวนหลายคัน หรือผู้ทำละเมิดลักทรัพย์ของผู้ถูกทำละเมิดไปเพียงนมกล่องเดียวให้บุตรเท่านั้น
- ตามความในวรรคนี้ ไม่ได้หมายถึงว่า การทำละเมิดนั้นจะต้องทำให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างมากเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง การทำละเมิดนั้นทำให้เกิดความเสียหายขึ้นเพียงเล็กน้อยด้วย
- ตามปกติความรุนแรงของการทำละเมิด มักจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนความเสียหายที่เกิดจากการทำละเมิดนั้น แต่อาจมีบางกรณีที่ไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เช่น ผู้ทำละเมิดขับรถด้วยความเร็วสูงด้วยความคึกคะนองในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น แต่เกิดการเฉี่ยวชนกับรถเพียงคันเดียว และมีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถคันดังกล่าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- คำว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้ หมายถึง เงิน หรือการกระทำ หรือวิธีการที่ผู้ทำละเมิดต้องใช้หรือต้องกระทำเพื่อแก้ไขความเสียหายซึ่งบุคคลที่ถูกทำละเมิดได้รับ
- ตามมาตรา 438 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย หมายความว่า
- คำว่า ค่าสินไหมทดแทนนั้น หมายถึง ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่ง
- คำว่า ได้แก่ หมายถึง ข้อความถัดไปเป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น ยังอาจมีวิธีการ หรือการกระทำอย่างอื่นอีกได้ เช่น การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หรือการถมที่ดินให้เป็นเหมือนเดิม หรือการเปิดทางให้ผู้ถูกทำละเมิดผ่านเข้าออกได้
- คำว่า การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หมายถึง การคืนทรัพย์สินที่ผู้ทำละเมิดเอาไป หรือทำให้สูญหาย หรือทำให้บุบสลายจนไม่สามารถใช้การได้อีก
- การคืนทรัพย์สินตามวรรคนี้ อาจเป็นการคืนทรัพย์สินชิ้นเดิม หรือเป็นการนำทรัพย์สินอันใหม่ที่มีประเภทและชนิดเดียวกันในปริมาณที่เท่ากันมาคืนแทนหรืออาจเป็นทรัพย์สินประเภทและชนิดอื่นที่ผู้ถูกทำละเมิดตกลงยอมรับก็ได้
- คำว่า หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น หมายถึง หากไม่สามารถคืนทรัพย์สินแก่ผู้ถูกทำละเมิดได้ไม่ว่าในกรณีใด ตามวรรคนี้จึงได้กำหนดทางแก้ คือ ให้ผู้ทำละเมิดใช้ราคาทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ถูกทำละเมิดแทนทรัพย์สินที่ไม่สามารถคืนได้นั้น
- ในการกำหนดราคาทรัพย์สินนั้น คู่ความทั้งสองฝ่ายอาจตกลงกันก่อน แล้วเสนอให้ศาลพิจารณากำหนดเป็นค่าสินไหมทดแทนให้ตามวรรคหนึ่ง
- หากคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลก็จะเป็นผู้พิจารณากำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ตามที่เห็นสมควร โดยอาจหักค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินดังกล่าวออกจากราคาทรัพย์สินนั้นก่อน หรืออาจไม่หักออกก็ได้ ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง
- ในการใช้ราคาทรัพย์สินเป็นเงิน ผู้ถูกทำละเมิดย่อมขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ตามมาตรา 7 จากเงินจำนวนดังกล่าวได้ ตามมาตรา 440
- คำว่า รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย หมายถึง นอกจากการคืนทรัพย์สิน หรือใช้ราคาทรัพย์สินแล้ว ค่าสินไหมทดแทนยังหมายรวมถึง ค่าเสียหาย หรือวิธีการ หรือการกระทำอย่างอื่น ๆ ที่จะกำหนดเพื่อแก้ไข หรือชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำละเมิดนั้นด้วย เช่น การประกาศหนังสือพิมพ์ หรือการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำ หรือการเปิดทางให้ผู้ถูกทำละเมิดเข้าออกได้ หรือการเพิกถอนคำสั่งที่เป็นละเมิด
- คำว่า ค่าเสียหาย ตามวรรคนี้มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ค่าสินไหมทดแทน ตามวรรคหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีความหมายถึง เงิน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
- แต่แม้จะกำหนดค่าเสียหายเป็นวิธีการ หรือการกระทำ ศาลก็ยังอาจกำหนดค่าเสียหายเป็นเงินอีกจำนวนหนึ่งเพิ่มเติมให้แก่ผู้ถูกทำละเมิดก็ได้
- หากกำหนดค่าเสียหายเป็นเงิน ผู้ถูกทำละเมิดย่อมขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ตามมาตรา 7 จากจำนวนเงินค่าเสียหายดังกล่าวได้ด้วย
- ตามมาตรา 439 ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้จำต้องคืนทรัพย์อันผู้อื่นต้องเสียไปเพราะละเมิดแห่งตนนั้น ยังต้องรับผิดชอบตลอดถึงการที่ทรัพย์นั้นทำลายลงโดยอุบัติเหตุ หรือการคืนทรัพย์ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างอื่นโดยอุบัติเหตุ หรือทรัพย์นั้นเสื่อมเสียลงโดยอุบัติเหตุนั้นด้วย เว้นแต่เมื่อการที่ทรัพย์ทำลาย หรือตกเป็นพ้นวิสัยจะคืน หรือเสื่อมเสียนั้น ถึงแม้ว่าจะมิได้มีการทำละเมิด ก็คงจะต้องตกไปเป็นอย่างนั้นอยู่เอง หมายความว่า
- คำว่า บุคคลผู้จำต้องคืนทรัพย์อันผู้อื่นต้องเสียไปเพราะละเมิดแห่งตนนั้น หมายถึง ผู้ทำละเมิดที่เอาทรัพย์สินของผู้อื่นไป ต้องนำทรัพย์สินที่ได้เอาไปนั้นมาคืนให้แก่ผู้อื่น
- ตามมาตรานี้เป็นการคืนทรัพย์สินอันเดิมที่ผู้ทำละเมิดเอาไป แต่ถ้าไม่สามารถนำทรัพย์สินอันเดิมที่ผู้ทำละเมิดเอาไปมาคืนได้แล้ว ก็อาจต้องนำทรัพย์สินอันใหม่ที่ใช้ทรัพย์สินอื่นชนิดเดียวกันและในปริมาณที่เท่ากันมาคืนแทน หรือใช้ราคาทรัพย์สินแทน ตามมาตรา 438 ซึ่งไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- คำว่า ยังต้องรับผิดชอบตลอดถึง หมายถึง ผู้ทำละเมิดที่เอาทรัพย์สินของผู้อื่นไป ต้องรับผิดในกรณีที่ไม่สามารถนำทรัพย์สินอันเดิมมาคืนได้ ตามข้อความถัดไป
- คำว่า การที่ทรัพย์นั้นทำลายลงโดยอุบัติเหตุ หมายถึง ทรัพย์สินนั้นถูกทำให้เสียหายหมดทั้งชิ้น โดยเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรือไม่ได้คาดหมายมาก่อน หรือไม่สามารถคาดหมายได้ หรือถูกทำให้เสียหายเกือบหมดทั้งชิ้นโดยเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรือไม่ได้คาดหมายมาก่อน หรือไม่สามารถคาดหมายได้ แต่ส่วนที่เหลือไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป และไม่สามารถซ่อมแซมเพื่อนำกลับมาคืนได้
- อุบัติเหตุ คือ เหตุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรือไม่ได้คาดหมายมาก่อน หรือไม่สามารถคาดหมายล่วงหน้าได้ แต่ก็ยังเป็นเหตุที่สามารถป้องกันได้ ถ้าหากใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ เป็นคนละความหมายกับเหตุสุดวิสัย ตามมาตรา 8 ซึ่งหมายถึง เหตุที่ไม่สามารถป้องกันได้ แม้ว่าจะใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม
- คำว่า ถูกทำลายลง คือ ยังเหลือซากของทรัพย์สินนั้น
- คำว่า หรือการคืนทรัพย์ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างอื่นโดยอุบัติเหตุ หมายถึง ไม่สามารถนำทรัพย์สินอันเดิมมาคืนได้ เพราะทรัพย์สินนั้นถูกทำให้สูญหายไปหมดทั้งชิ้น โดยเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรือไม่ได้คาดหมายมาก่อน หรือไม่สามารถคาดหมายได้
- เหตุอย่างอื่น คือ เหตุที่ทำให้ไม่สามารถนำทรัพย์สินอันเดิมมาคืนได้ ในกรณีอื่นที่ไม่ใช่การทำให้เสียหาย เช่น ทรัพย์สินนั้นจมน้ำสูญหายไป หรือทรัพย์สินนั้นถูกโอนเปลี่ยนเจ้าของไปหลายรายจนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแน่ชัด
- พ้นวิสัย คือ เกินความสามารถที่จะทำได้
- คำว่า หรือทรัพย์นั้นเสื่อมเสียลงโดยอุบัติเหตุนั้นด้วย หมายถึง ทรัพย์สินนั้นเสื่อมสภาพลงจนไม่สามารถใช้การได้ โดยเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หรือไม่ได้คาดหมายมาก่อน หรือไม่สามารถคาดหมายได้ และไม่สามารถซ่อมแซมให้นำกลับมาใช้งานได้
- คำว่า เว้นแต่เมื่อการที่ทรัพย์ทำลาย หรือตกเป็นพ้นวิสัยจะคืน หรือเสื่อมเสียนั้น หมายถึง เป็นการกำหนดหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ของผู้ทำละเมิด ซึ่งต้องรับผิดนำทรัพย์สินที่ได้เอาไปนั้นมาคืนให้แก่ผู้ถูกทำละเมิด ที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ในเหตุที่ทำให้ทรัพย์สินนั้นถูกทำลายลง หรือตกเป็นพ้นวิสัยจะที่นำมาคืน หรือเสื่อมเสียจนใช้การไม่ได้นั้น เป็นกรณีที่เกิดขึ้นตามข้อความถัดไป
- ตำว่า ถึงแม้ว่าจะมิได้มีการทำละเมิด ก็คงจะต้องตกไปเป็นอย่างนั้นอยู่เอง หมายถึง แม้จะไม่ได้มีการทำละเมิดทรัพย์สินนั้นก็ต้องเสื่อมเสียจนใช้งานไม่ได้อยู่แล้วตามสภาพของทรัพย์สินนั้น เช่น ทรัพย์สินนั้นเป็นอาหารสดที่เสียได้อย่างรวดเร็วโดยสภาพ แม้ผู้ทำละเมิดไม่ได้เอาไป แต่ผู้ถูกทำละเมิดก็ไม่ได้นำมาใช้ปรุงอาหาร เพราะเดินทางไปทำธุระ หรือท่องเที่ยวที่ต่างประเทศอยู่ เมื่อผู้ถูกทำละเมิดเดินทางกลับมาอาหารสดนั้น ก็ต้องเสื่อมสภาพไปอยู่แล้ว เป็นความหมายคล้ายกับมาตรา 660
- แต่แม้จะพิสูจน์ให้เห็นได้ตามข้อความนี้ ก็คงมีความหมายเพียงว่า ผู้ทำละเมิดไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน ซึ่งถูกทำลายลง หรือตกเป็นพ้นวิสัยจะที่นำมาคืน หรือเสื่อมเสียจนใช้การไม่ได้ เท่านั้น
- แต่ไม่ได้หมายความไปถึงขนาดว่า การกระทำนั้นไม่เป็นละเมิด และผู้ทำละเมิดจะไม่ต้องรับผิดอย่างใดเลย ทั้งนี้เพราะผู้ทำละเมิดเอาทรัพย์สินของผู้อื่นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถ้าเกิดความเสียหายอย่างอื่นแก่ผู้ถูกทำละเมิด เช่น เกิดความเสียหายต่อสิทธิครอบครองเคหสถาน เนื่องจากผู้ทำละเมิดบุกรุกเข้าไปเอาทรัพย์สินดังกล่าว หรือเกิดความเสียหายในทางจิตใจ เนื่องจากผู้ถูกทำละเมิดรู้สึกตกใจกลัวอย่างมากจากการทำละเมิด อันเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวผู้ถูกทำละเมิด ไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินซึ่งผู้ทำละเมิดไม่ต้องรับผิดตามที่บัญญัติในมาตรานี้ ผู้ทำละเมิดก็ยังคงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อผู้ถูกทำละเมิดในความเสียหายดังกล่าวอยู่ ตามมาตรา 438
- ทั้งถ้าการเอาทรัพย์สินไปซึ่งเป็นละเมิดนั้น เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ผู้ทำละเมิดก็ยังต้องรับโทษในความผิดฐานลักทรัพย์นี้อยู่ ไม่สามารถนำมาตรานี้ไปเป็นข้อยกเว้นความผิด หรือยกเว้นโทษในความผิดฐานลักทรัพย์นี้ได้
- คำว่า บุคคลผู้จำต้องคืนทรัพย์อันผู้อื่นต้องเสียไปเพราะละเมิดแห่งตนนั้น หมายถึง ผู้ทำละเมิดที่เอาทรัพย์สินของผู้อื่นไป ต้องนำทรัพย์สินที่ได้เอาไปนั้นมาคืนให้แก่ผู้อื่น
- ตามมาตรา 440 ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่ต้องใช้ราคาทรัพย์อันได้เอาของเขาไปก็ดี ในกรณีที่ต้องใช้ราคาทรัพย์อันลดน้อยลงเพราะบุบสลายก็ดี ฝ่ายผู้ต้องเสียหายจะเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องใช้ คิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคานั้นก็ได้ หมายความว่า
- คำว่า ในกรณีที่ต้องใช้ราคาทรัพย์อันได้เอาของเขาไปก็ดี หมายถึง ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้เงินเป็นค่าทรัพย์สินที่ได้เอาของผู้ถูกทำละเมิดไป และผู้ทำละเมิดไม่สามารถนำทรัพย์สินนั้นมาคืนให้แก่ผู้ถูกทำละเมิดไม่ว่าในกรณีใด ๆ
- คำว่า ในกรณีที่ต้องใช้ราคาทรัพย์อันลดน้อยลงเพราะบุบสลายก็ดี หมายถึง ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้เงินเป็นค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย แต่ยังสามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้อีก แต่ก็ทำให้ทรัพย์สินนั้นมีราคาลดลง หรือเสื่อมคุณค่าลงไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิมอีก
- คำว่า ฝ่ายผู้ต้องเสียหายจะเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องใช้ หมายถึง ผู้ถูกทำละเมิดสามารถเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 7 จากจำนวนเงินที่ผู้ทำละเมิดจะต้องใช้ใน 2 กรณี ตามข้อความก่อนนี้ได้ด้วย
- คำว่า คิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคานั้นก็ได้ หมายถึง วันตามที่ผู้ถูกทำละเมิดกำหนดว่าจะเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็น เงินที่ผู้ทำละเมิดจะต้องใช้ใน 2 กรณี ตามข้อความก่อนนี้ นับตั้งแต่นั้น เช่น เรียกค่าสินไหมทดแทนนับตั้งแต่วันทำละเมิด หรือนับตั้งแต่วันที่เพิ่งรู้ว่ามีการทำละเมิด หรือนับตั้งแต่วันที่มีการตีราคาทรัพย์สินนั้น หรือนับตั้งแต่วันยื่นคำฟ้อง หรือนับตั้งแต่วันนับถัดจากวันยื่นคำฟ้องก็ได้ ดังนี้ ผู้ถูกทำละเมิดย่อมสามารถเรียกดอกเบี้ยนับจากวันดังกล่าวนั้นได้พร้อมกันทันที หรือแม้ผู้ถูกทำละเมิดจะเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินดังกล่าว ตั้งแต่วันใดก็ตาม แต่ผู้ถูกทำละเมิดจะขอคิดดอกเบี้ยจากเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันยื่นคำฟ้อง หรือนับตั้งแต่วันถัดจากวันยื่นคำฟ้องก็ได้เช่นกัน ไม่มีข้อห้าม
- เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคา คือ วันตามที่ผู้ถูกทำละเมิดกำหนดว่าจะเริ่มเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่นั้น ไม่ได้มีข้อกำหนดตายตัวว่าต้องเป็นวันใดวันหนึ่งเท่านั้น เช่น จะเป็นวันที่ถูกทำละเมิด หรือจะเป็นวันที่เพิ่งรู้ว่ามีการทำละเมิด หรือจะเป็นวันที่มีการซ่อมแซมทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว หรือจะเป็นวันที่มีการตีราคาทรัพย์สินนั้นว่ามีราคาลดลงเท่าใด หรือจะเป็นวันยื่นคำฟ้อง หรือจะเป็นวันรุ่งขึ้นจากวันยื่นคำฟ้องก็ได้ แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้ถูกทำละเมิดต้องเริ่มขอคิดดอกเบี้ยนับจากวันตามที่กำหนดนั้น หรือวันยื่นคำฟ้อง หรือวันถัดจากวันยื่นคำฟ้อง
- ตามข้อความนี้ไม่ได้หมายถึงเวลา เป็นชั่วโมง หรือนาที ตามความหมายปกติ แต่หมายความถึง วันตามที่กำหนด
- เป็นความหมายเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา 225 แต่ใช้ถ้อยคำแตกต่างกันเล็กน้อย โดยมาตรา 225 ใช้คำว่า เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคา ส่วนข้อความตามมาตรานี้ ไม่มีคำว่า กะ
- เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคา คือ วันตามที่ผู้ถูกทำละเมิดกำหนดว่าจะเริ่มเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่นั้น ไม่ได้มีข้อกำหนดตายตัวว่าต้องเป็นวันใดวันหนึ่งเท่านั้น เช่น จะเป็นวันที่ถูกทำละเมิด หรือจะเป็นวันที่เพิ่งรู้ว่ามีการทำละเมิด หรือจะเป็นวันที่มีการซ่อมแซมทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว หรือจะเป็นวันที่มีการตีราคาทรัพย์สินนั้นว่ามีราคาลดลงเท่าใด หรือจะเป็นวันยื่นคำฟ้อง หรือจะเป็นวันรุ่งขึ้นจากวันยื่นคำฟ้องก็ได้ แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้ถูกทำละเมิดต้องเริ่มขอคิดดอกเบี้ยนับจากวันตามที่กำหนดนั้น หรือวันยื่นคำฟ้อง หรือวันถัดจากวันยื่นคำฟ้อง
- ตามมาตรา 441 ที่บัญญัติว่า ถ้าบุคคลจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ เพราะเอาสังหาริมทรัพย์ของเขาไปก็ดี หรือเพราะทำของเขาให้บุบสลายก็ดี เมื่อใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะที่เอาไป หรือขณะที่ทำให้บุบสลายนั้นแล้ว ท่านว่าเป็นอันหลุดพ้นไปเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้น แม้กระทั่งบุคคลภายนอกจะเป็นเจ้าของทรัพย์หรือมีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น เว้นแต่สิทธิของบุคคลภายนอกเช่นนั้นจะเป็นที่รู้อยู่แก่ตนหรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน หมายความว่า
- คำว่า ถ้าบุคคลจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ หมายถึง ผู้ทำละเมิดที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438
- คำว่า เพราะเอาสังหาริมทรัพย์ของเขาไปก็ดี หมายถึง การทำละเมิดนั้นเป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นไป
- คำว่า เพราะทำของเขาให้บุบสลายก็ดี หมายถึง การทำละเมิดนั้นเป็นการทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายทั้งหมด หรือแต่บางส่วน
- คำว่า เมื่อใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์นั้น หมายถึง ผู้ทำละเมิดนั้นได้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่บุคคลที่เป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่
- บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์ ตามความในมาตรานี้ ไม่จำต้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง หรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ถูกเอาไปโดยละเมิด หรือถูกทำให้เสียหายทั้งหมด หรือแต่บางส่วนนั้นแต่อย่างใด คงเป็นเพียงผู้ที่ครอบครอง หรือยึดถือ หรือใช้ประโยชน์ทรัพย์สินนั้นในขณะที่มีการทำละเมิดนั้น ก็ถือเป็นผู้ครองทรัพย์ตามความหมายนี้แล้ว เช่น เป็นคนงานในบ้านของเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือของผู้เช่า หรือเป็นเพื่อนของเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือของผู้เช่า หรือเป็นผู้ยืมทรัพย์สินนั้นจากเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือจากผู้เช่า หรือผู้รับฝากทรัพย์สินนั้นจากเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือจากผู้เช่า แม้ผู้เช่าไม่มีสิทธิที่จะนำทรัพย์สินนั้นให้ผู้อื่นยืมไป หรือไปฝากผู้อื่นให้ดูแลแทนตน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้เช่าที่ต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าตามสัญญาเช่า ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากเรื่องการใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรานี้
- ผู้ครองทรัพย์ ตามมาตรานี้ มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ผู้ครองตามปรากฏแห่งสิทธิในมูลหนี้ ตามมาตรา 316
- บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์ ตามความในมาตรานี้ ไม่จำต้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง หรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ถูกเอาไปโดยละเมิด หรือถูกทำให้เสียหายทั้งหมด หรือแต่บางส่วนนั้นแต่อย่างใด คงเป็นเพียงผู้ที่ครอบครอง หรือยึดถือ หรือใช้ประโยชน์ทรัพย์สินนั้นในขณะที่มีการทำละเมิดนั้น ก็ถือเป็นผู้ครองทรัพย์ตามความหมายนี้แล้ว เช่น เป็นคนงานในบ้านของเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือของผู้เช่า หรือเป็นเพื่อนของเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือของผู้เช่า หรือเป็นผู้ยืมทรัพย์สินนั้นจากเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือจากผู้เช่า หรือผู้รับฝากทรัพย์สินนั้นจากเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือจากผู้เช่า แม้ผู้เช่าไม่มีสิทธิที่จะนำทรัพย์สินนั้นให้ผู้อื่นยืมไป หรือไปฝากผู้อื่นให้ดูแลแทนตน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้เช่าที่ต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าตามสัญญาเช่า ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากเรื่องการใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรานี้
- คำว่า อยู่ในขณะที่เอาไป หมายถึง ผู้ครองทรัพย์ได้ครอบครอบทรัพย์สินนั้นอยู่ในขณะที่ผู้ทำละเมิดเอาทรัพย์สินนั้นไป
- คำว่า ขณะที่ทำให้บุบสลายนั้นแล้ว หมายถึง ผู้ครองทรัพย์ได้ครอบครอบทรัพย์สินนั้นอยู่ในขณะที่ผู้ทำละเมิดทำให้ทรัพย์สินนั้นเสียหายทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
- คำว่า ท่านว่าเป็นอันหลุดพ้นไปเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้น หมายถึง การใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรานี้ เป็นเรื่องการชำระหนี้ที่ผู้ทำละเมิดที่ได้ทำโดยผิดกฎหมายต่อทรัพย์สินนั้น ในขณะที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลหนึ่งบุคคลใด ย่อมแสดงว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น และเป็นผู้ได้รับความเสียหายไม่ได้ใช้ทรัพย์สินนั้น ดังนั้น ถือได้ว่าบุคคลนั้น หรือผู้ครองทรัพย์เป็นผู้ครองตามปรากฏแห่งสิทธิในมูลหนี้ ตือ หนี้ละเมิด ตามมาตรา 316 ผู้ครองทรัพย์จึงสามารถรับชำระหนี้จากผู้ทำละเมิดซึ่งถือเป็นลูกหนี้ได้
- ทั้งตามมาตรา 206 ถือว่าผู้ทำละเมิดตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีที่ทำละเมิด ดังนั้น เมื่อผู้ทำละเมิดมีความประสงค์ที่จะใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากความรับผิดในมูลหนี้ละเมิดที่เกิดขึ้น ด้วยการชำระหนี้แก่ผู้ที่ครอบครองทรัพย์สินนั้นในขณะที่ทำละเมิด หรือในขณะที่ก่อหนี้ ตามมาตรานี้จึงให้ผู้ทำละเมิดสามารถชำระหนี้ตามความประสงค์นั้นได้ ส่วนการที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น หรือมีผู้อื่นที่มีสิทธิในทรัพย์สินนั้น ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ หรือเป็นผู้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่แท้จริง จะได้รับชำระหนี้นั้นจริง ๆ หรือไม่ ย่อมเป็นเรื่องในฝ่ายของเจ้าหนี้ด้วยกันเอง ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจากเรื่องการชำระหนี้ของผู้ทำละเมิด หรือลูกหนี้
- คำว่า แม้กระทั่งบุคคลภายนอกจะเป็นเจ้าของทรัพย์หรือมีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น หมายถึง แม้ตามความเป็นจริงแล้ว ผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้นในขณะที่มีการทำละเมิดจะไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น หรือมีผู้อื่นที่มีสิทธิในทรัพย์สินนั้นด้วย เช่น ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินนั้น หรือผู้เช่า หรือผู้เช่าซื้อ หรือผู้ยืม หรือเจ้าของสามยทรัพย์ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิในภาระจำยอมเหนือทรัพย์สินนั้น หรือผู้ทรงสิทธิอาศัย หรือผู้ทรงสิทธิเก็บกิน หรือผู้ทรงสิทธิเหนือพื้นดิน หรือผู้รับประโยชน์ในภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม ตามมาตรานี้ก็ยังให้ถือว่า การชำระหนี้หรือใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ทำละเมิดดังกล่าว มีผลให้ผู้ทำละเมิดเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ได้ สอดคล้องกับมาตรา 316
- หากผู้ครองทรัพย์นั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้หรือรับค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงแล้ว ย่อมต้องถือว่าผู้ครองทรัพย์ได้รับการชำระหนี้หรือรับค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดไว้แทนเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้มีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น และเป็นหน้าที่ของผู้ครองทรัพย์ที่จะต้องนำค่าสินไหมทดแทนนั้นส่งมอบให้แก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้มีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้นต่อไป ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของผู้ทำละเมิด แต่ถ้ามีข้อบกพร่องในส่วนตัวของผู้ทำละเมิดตามข้อความถัดไป ก็ย่อมทำให้การชำระหนี้หรือใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ทำละเมิดหรือลูกหนี้ ไม่มีผลเป็นการชำระหนี้ตามกฎหมาย ทำให้ผู้ทำละเมิดหรือลูกหนี้ต้องชำระหนี้หรือใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้มีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้หรือรับค่าสินไหมทดแทนหรือเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงอีกครั้ง แล้วจึงค่อยไปเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ตนเองใช้ให้แก่ผู้ครองทรัพย์คืนต่อไป ในกรณีก็ไม่เรียกการเอาค่าสินไหมทดแทนคืนจากผู้ครองทรัพย์นี้ว่า การไล่เบี้ย แต่เป็นการชำระหนี้แก่บุคคลที่ไม่มีสิทธิจะได้รับ ตามมาตรา 317
- คำว่า เว้นแต่สิทธิของบุคคลภายนอกเช่นนั้น หมายถึง สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้มีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์สินนั้น
- คำว่า จะเป็นที่รู้อยู่แก่ตน หมายถึง ผู้ทำละเมิดรู้อยู่แล้วว่าผู้ครอบครองทรัพย์สินอยู่ในขณะที่มีการทำละเมิด ซึ่งตนเองได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ไปนั้น ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น หรือไม่ใช่ผู้ที่มีสิทธิอย่างอื่นในทรัพย์สินนั้น
- คำว่า หรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน หมายถึง การที่ผู้ทำละเมิดไม่รู้ว่าผู้ครอบครองทรัพย์สินอยู่ในขณะที่มีการทำละเมิด ซึ่งตนเองได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ไปนั้น ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น หรือไม่ใช่ผู้ที่มีสิทธิอย่างอื่นในทรัพย์สินนั้น เช่น ผู้ทำละเมิดได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนในการขับรถเฉี่ยวชนรถแท็กซี่ให้แก่คนที่เช่าขับรถแท็กซี่คันนั้น ทั้ง ๆ ที่มีชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ของรถแท็กซี่คันนั้นติดอยู่ที่ด้านข้างของประตูรถทุกบาน
- ดังนี้ การใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ทำละเมิดดังกล่าว ย่อมถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยไม่สุจริต ไม่มีผลให้ผู้ทำละเมิดหลุดพ้นจากหนี้ได้ สอดคล้องกับมาตรา 316
- ตามมาตรา 448 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด หมายความว่า
- คำว่า สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น หมายถึง สิทธิฟ้องคดีของผู้ถูกทำละเมิดเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิด
- คำว่า ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่ หมายถึง มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่
- คำว่า วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด หมายถึง วันที่ผู้ถูกทำละเมิดรู้ว่าตนเอง หรือทรัพย์สิน หรือสิทธิของตนเองได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดนั้น เพียงรู้ว่าผู้ทำละเมิดมีการกระทำเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าตนเองหรือทรัพย์สินหรือสิทธิของตนเองได้รับความเสียหายจากการกระทำนั้น ยังถือไม่ได้ว่าผู้ถูกทำละเมิดรู้ถึงการทำละเมิดนั้น ทั้งนี้เพราะตามมาตรา 420 สาระสำคัญของการทำละเมิด คือ การทำให้ผู้อื่นหรือทรัพย์สินหรือสิทธิของผู้อื่นได้รับความเสียหาย ดังนั้น การที่จะถือว่าผู้ถูกทำละเมิดรู้ว่ามีการทำละเมิดแก่ตนเอง ผู้ถูกทำละเมิดต้องรู้ว่าตนเองหรือทรัพย์สินหรือสิทธิของตนเองได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของผู้อื่น ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ใดเป็นผู้ทำละเมิดนั้น เป็นข้อเท็จจริงอีกส่วนหนึ่งเพิ่มเติมจากเรื่องนี้ เช่น ผู้ผู้ถูกทำละเมิดเห็นรถที่ตนเองจอดไว้ที่ลานจอดรถ มีรอยบุบที่กันชนหน้า แสดงว่าต้องมีผู้ขับรถมาชน หรือต้องมีผู้ถอยรถมาชน อันเป็นการทำละเมิด จึงทำให้รถของผู้ถูกทำละเมิดได้รับความเสียหายมีรอยบุบที่กันชนหน้า
- ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น การที่ผู้ถูกทำละเมิดรู้ว่ามีการทำละเมิดแก่ตนนั้น ก็มักจะเกิดจากผู้ถูกทำละเมิดรู้ หรือเห็นความเสียหายที่ตนเองหรือทรัพย์สินหรือสิทธิของตนเองได้รับเป็นลำดับแรก ซึ่งความเสียหายดังกล่าวย่อมเกิดจากการกระทำของผู้อื่น ดังนั้น การที่ผู้ถูกทำละเมิดรู้ หรือเห็นความเสียหายที่ตนเองหรือทรัพย์สินหรือสิทธิของตนเองได้รับ จึงถือได้ว่า ผู้ถูกทำละเมิดรู้ว่ามีผู้อื่นทำละเมิดแก่ตน ตามความหมายในข้อความส่วนนี้แล้ว ส่วนการที่จะรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ทำละเมิดแก่ตนเองนั้น มักเป็นข้อเท็จจริงที่มาหลังจากที่ผู้ถูกทำละเมิดรู้เรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว
- การรู้ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ถูกทำละเมิดไม่จำต้องรู้ถึงขนาดว่า ตนเองหรือทรัพย์สินหรือสิทธิของตนเองได้รับความเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใด เพียงแค่รู้ว่าตนเองหรือทรัพย์สินหรือสิทธิของตนเองได้รับความเสียหาย ก็อยู่ในความหมายตามข้อความนี้แล้ว
- คำว่า และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หมายถึง และผู้ถูกทำละเมิดรู้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ตนเองหรือทรัพย์สินหรือสิทธิของตนเองนั้น มีผู้ใดเป็นผู้ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน ซึ่งอาจเป็นคนละคนกับผู้ทำละเมิดก็ได้ เช่น การทำละเมิดตามมาตรา 425 , 427 , 429 และมาตรา 430 ผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกทำละเมิด ไม่ใช่ตัวผู้ทำละเมิดเองเพียงคนเดียว แต่เป็นนายจ้าง หรือตัวการ หรือบิดามารดาหรือผู้อนุบาล หรือครูบาอาจารย์หรือนายจ้างหรือบุคคลอื่นที่ดูแลผู้ไร้ความสามารถ ซึ่งต้องรับผิดในการที่ลูกจ้าง หรือตัวแทน หรือผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถเป็นผู้ทำละเมิดนั้นด้วย
- แต่ไม่ว่าจะมีผู้ต้องรับผิดแทนผู้ทำละเมิดหรือไม่ก็ตาม ตัวผู้ทำละเมิดก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกทำละเมิดด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากผู้ถูกทำละเมิดเพียงรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ทำละเมิด ก็ถือว่าเฉพาะในส่วนของผู้ทำละเมิดนั้น ผู้ถูกทำละเมิดรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความหมายในข้อความนี้แล้ว อายุความเฉพาะตัวผู้ทำละเมิดย่อมเริ่มนับทันที
- การขาดอายุความ หรือการที่อายุความสะดุดหยุดลงสำหรับลูกหนี้ร่วมคนใด ย่อมถือเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับตัวลูกหนี้ร่วมคนนั้นเท่านั้น ไม่กระทบหรือทำให้อายุความสำหรับลูกหนี้คนอื่นเป็นอันขาดอายุความ หรืออายุความสะดุดหยุดลงไปด้วย ตามมาตรา 295
- คำว่า หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด หมายถึง แม้ผู้ถูกทำละเมิดจะรู้ว่าตนเอง หรือทรัพย์สิน หรือสิทธิของตนเองได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดนั้น แต่ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ทำละเมิด หรือไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน หรือไม่รู้ว่าตนเอง หรือทรัพย์สิน หรือสิทธิของตนเองได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดนั้นเลยก็ตาม จนครบ 10 ปี นับแต่วันที่มีการทำละเมิด หรือวันที่ผู้ถูกทำละเมิดรู้ว่าตนเอง หรือทรัพย์สิน หรือสิทธิของตนเองได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดนั้น ก็เป็นอันขาดอายุความ ตามความในมาตรานี้ ผู้ถูกทำละเมิดไม่สามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดแก่ตนได้
- แม้ภายหลังจากเมื่อครบกำหนด 10 ปี ผู้ถูกทำละเมิดจะรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน ผู้ถูกทำละเมิดก็ไม่สามารถจะฟ้องผู้ทำละเมิด หรือฟ้องผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตนได้เช่นเดียวกัน
- อายุความในวรรคนี้ แม้มีกำหนดอายุความเป็น 2 ช่วงเวลา แต่ผู้ถูกทำละเมิดก็ไม่สามารถเลือกว่าจะใช้อายุความเวลาใดได้ การใช้อายุความเวลาใด ย่อมเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
- และแม้จะมีกำหนดอายุความเป็น 2 ช่วงเวลา แต่ไม่ได้หมายความอายุความทั้ง 2 ช่วงเวลา ตามความในวรรคนี้ จะเริ่มต้นนับแตกต่างกัน อายุความตามวรรคนี้คงเริ่มนับตั้งแต่เมื่อผู้ถูกทำละเมิดมีสิทธิเรียกร้อง ให้ผู้ทำละเมิด หรือผู้ต้องรับผิดแทนใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตน ตามมาตรา 193/9 คือ เริ่มนับตั้งแต่เวลาทำละเมิด อันเป็นเวลาที่ผู้ทำละเมิดซึ่งเป็นลูกหนี้ในมูลละเมิดนั้นผิดนัด ตามมาตรา 206 เพียงแต่เมื่อผู้ถูกทำละเมิดรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตนแล้ว จึงลดระยะเวลา 10 ปี ลง โดยกำหนดให้ผู้ถูกทำละเมิดฟ้องผู้ทำละเมิด หรือฟ้องผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเสียให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ถูกทำละเมิดรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน
- ระยะเวลา 1 ปี จึงไม่ใช่อายุความ 1 ปี ซ้อนในอายุความ 10 ปี
- ข้อต่อสู้เรื่อง ฟ้องขาดอายุความนี้ เป็นหน้าที่ของจำเลย หรือผู้ทำละเมิด หรือผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ที่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ มิฉะนั้นศาลจะไม่ยกเรื่อง ฟ้องขาดอายุความนี้ ขึ้นวินิจฉัยในคำพิพากษาเพื่อยกฟ้องโจทก์ หรือผู้ถูกทำละเมิด ตามมาตรา 193/29
- ปัญหาเรื่อง ฟ้องขาดอายุความหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบ มิฉะนั้นไม่สามารถรู้ได้ว่า จะเริ่มนับอายุความในวันใด โดยโจทก์มีหน้าที่นำสืบ หรือมีภาระการพิสูจน์ ตามป.วิ.พ. มาตรา 84/1 เนื่องจากการที่โจทก์นำข้อเท็จจริงอันเป็นมูลคดีมาฟ้องจำเลย ถือว่าโจทก์กล่าวอ้างโดยปริยายว่า ข้อเท็จจริงอันเป็นมูลคดีที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยนั้น ยังไม่ขาดอายุความ แต่เรื่องฟ้องขาดอายุความนี้ จำเลยต้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ให้ชัดเจนในคำให้การ ในการชี้สองสถานศาลจึงจะกำหนดเรื่องฟ้องขาดอายุความนี้ขึ้นเป็นประเด็นข้อพิพาท หากจำเลยไม่ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ ย่อมไม่ถือเป็นประเด็นในคดี และศาลก็จะไม่ยกเรื่องฟ้องขาดอายุความนี้ ขึ้นวินิจฉัยในคำพิพากษาเพื่อยกฟ้องโจทก์ หรือผู้ถูกทำละเมิดด้วย ตามมาตรา 193/29
- ในกรณีที่ผู้ถูกทำละเมิดเป็นนิติบุคคลนั้น ต้องถือการรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลนั้น เช่น รัฐมนตรีว่าการ หรือปลัดกระทรวง หรืออธิบดี หรือผู้ว่าการ หรือเจ้าอาวาส หรือกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการบริษัท หรือหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นการรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนของนิติบุคคล ตามความในวรรคนี้ ส่วนการที่พนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลนั้นรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ไม่ถือว่านิติบุคคลนั้นรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามความในวรรคนี้แต่อย่างใด
- แต่ถ้าพนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลได้รายงานเรื่องการทำละเมิดและผู้ทำละเมิด หรือผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลนั้นทราบแล้ว แต่ผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลนั้นสั่งให้มีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเสียก่อน ก็ถือว่า ผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลนั้นได้รู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามความวรรคนี้แล้ว ผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลนั้นจะยกเอาการตรวจสอบดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องภายในของนิติบุคคลนั้นมาอ้างเพื่อขยายระยะเวลาตามที่บัญญัติไว้ในวรรคนี้ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายให้อ้างเช่นนั้นได้
- ตามมาตรา 448 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา และมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้นไซร้ ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ หมายความว่า
- คำว่า แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหาย หมายถึง ผู้ถูกทำละเมิดฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 438 จากผู้ทำละเมิด
- คำว่า ในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา หมายถึง การทำละเมิดนั้นเป็นความผิดในทางอาญาด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในทางแพ่งอย่างเดียวเท่านั้น เช่น การทำละเมิดโดยการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป ย่อมเป็นความผิดตามป.อ. มาตรา 334 ด้วย หรือการทำละเมิดโดยการทำร้ายร่างกายผู้อื่น ย่อมเป็นความผิดตามป.อ. มาตรา 295 ด้วย หรือการทำละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวแพร่ ซึ่งข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความจริง ตามมาตรา 423 วรรคหนึ่ง ย่อมเป็นความผิดตามป.อ. มาตรา 326 ด้วย
- แต่การทำให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายโดยประมาทเลินเล่อ ในปัจจุบันไม่เป็นความผิดตามป.อ. จึงไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- คำว่า กฎหมายลักษณะอาญา ในปัจจุบันหมายถึง ประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายที่มีโทษในทางอาญาอื่น ๆ เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบก ฯ หรือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ
- คำว่า และมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้นไซร้ หมายถึง การทำละเมิดที่เป็นความผิดในทางอาญาด้วยนั้น สำหรับความผิดในทางอาญาดังกล่าวตามป.อ. หรือตามกฎหมายที่มีโทษในทางอาญาอื่น ๆ นั้น ได้กำหนดอายุความไว้เป็นระยะเวลาที่นานกว่าระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง เช่น การทำละเมิดที่เป็นการทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้นั้นได้รับอันตรายสาหัส ตามป.อ. มาตรา 297 มีอายุความตามป.อ. มาตรา 95 (2) เป็นเวลา 15 ปี
- คำว่า ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ หมายถึง การทำละเมิดที่เป็นความผิดในทางอาญา และมีอายุความที่บัญญัติไว้ ตามป.อ. หรือตามกฎหมายที่มีโทษในทางอาญาอื่น ๆ นั้น นานกว่าระยะเวลา 1 ปี ในกรณีที่ผู้ถูกทำละเมิดรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือนานกว่าระยะเวลา 10 ปี ในกรณีที่ผู้ถูกทำละเมิดไม่รู้ถึงการทำละเมิด หรือไม่รู้ตัวผู้ทำละเมิด ตามที่ได้กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ก็ให้นำอายุความตามป.อ. หรือตามกฎหมายที่มีโทษในทางอาญาอื่น ๆ นั้น มาใช้เป็นอายุความในการฟ้องคดีที่ผู้ถูกทำละเมิดฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดทั้งสองกรณีดังกล่าว แทนอายุความตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง
- แต่การจะนำอายุความสำหรับความผิดในทางอาญามาใช้ตามที่บัญญัติไว้วรรคนี้ได้นั้น จะต้องเป็นไปตามป.วิ.อ. มาตรา 51 ด้วย คือ
- ตามป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ถ้าไม่มีการฟ้องคดีอาญา การฟ้องคดีของผู้ถูกทำละเมิดไม่ว่าผู้ถูกทำละเมิดจะรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่ามีผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่รู้ถึงการทำละเมิด หรือไม่รู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือไม่รู้ว่ามีผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่ก็ตามอายุความ 1 ปี หรือ 10 ปี ตามความในวรรคหนึ่ง ย่อมต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในป.อ. ซึ่งอาจจะสั้นกว่า 10 ปี หรือยาวกว่า 10 ปี ก็ได้
- ตามป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคสอง ถ้าได้ฟ้องคดีอาญาต่อศาล และได้ตัวผู้ทำผิด หรือผู้ทำละเมิดมาศาลด้วย แต่คดียังไม่มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น อายุความที่ผู้ถูกทำละเมิดจะฟ้องผู้ทำละเมิดนั้น ย่อมสะดุดหยุดลงตามป.อ. มาตรา 95
- แต่ถ้าผู้ถูกทำละเมิดยังไม่ได้ฟ้องผู้ทำละเมิด และศาลในคดีอาญาได้พิพากษาลงโทษผู้ทำละเมิดเสียก่อน อายุความก็จะเป็นไปตามป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคสาม ไม่อยู่ในความหมายของวรรคสองนี้
- มีข้อแตกต่างระหว่าง ป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคหนึ่ง กับวรรคสอง คือ
- ตามป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคหนึ่ง อาจจะเป็นกรณีที่ผู้ถูกทำละเมิดรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่ามีผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือผู้ถูกทำละเมิดไม่รู้ถึงการทำละเมิด หรือไม่รู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือไม่รู้ว่ามีผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ได้ ซึ่งจะมีอายุความ 1 ปี หรือ 10 ปี แล้วแต่กรณี ตามวรรคหนึ่ง
- ส่วนตามมาตรา 51 วรรคสอง เป็นกรณีที่ผู้ถูกทำละเมิดรู้ตัวผู้ทำละเมิด หรือรู้ว่ามีผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่รู้ถึงการทำละเมิด ซึ่งจะมีอายุความ 1 ปี ตามวรรคหนึ่ง
- ตามป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคสาม ถ้าได้ฟ้องคดีอาญาต่อศาล และศาลไม่ว่าชั้นใดได้พิพากษาลงโทษผู้ทำผิด หรือผู้ทำละเมิดแล้ว และผู้ถูกทำละเมิดยังไม่ได้ฟ้องผู้ทำละเมิด ผู้ถูกทำละเมิดย่อมสามารถฟ้องผู้ทำละเมิดได้ในกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 193/32
- ตามป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคสาม นี้ ถ้าได้ฟ้องคดีอาญาต่อศาล แต่ศาลไม่ได้พิพากษาลงโทษผู้ทำผิด หรือผู้ทำละเมิด อายุความที่ผู้ถูกทำละเมิดจะฟ้องผู้ทำละเมิด ย่อมเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง เช่นเดิม
- แต่การจะนำอายุความสำหรับความผิดในทางอาญามาใช้ตามที่บัญญัติไว้วรรคนี้ได้นั้น จะต้องเป็นไปตามป.วิ.อ. มาตรา 51 ด้วย คือ
- ในอดีต การฟ้องคดีละเมิดที่เป็นความผิดทางอาญาด้วยนั้น ยังต้องพิจารณาตามป.วิ.อ. มาตรา 46 ด้วยว่า ในการพิพากษาคดีละเมิดนั้น ศาลในคดีละเมิดซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่งจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังนั้น ในการฟ้องผู้ทำละเมิดเป็นคดีแพ่ง ผู้ถูกทำละเมิดจึงมักจะรอให้มีการพิพากษาคดีส่วนอาญาจนคดีถึงที่สุดเสียก่อน หรือมิฉะนั้นหากมีการฟ้องคดีละเมิดไปก่อนที่คดีส่วนอาญาจะถึงที่สุด ศาลในคดีละเมิดซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง ก็มักจะจำหน่างคดีชั่วคราว เพื่อรอฟังผลในคดีส่วนอาญาเสียก่อน
- ในปัจจุบัน เมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ผู้ถูกทำละเมิดจึงมักจะยื่นคำร้องขอค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนเข้ามาในคดีอาญาด้วย เพื่อให้ศาลในคดีอาญาได้พิพากษากำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน พร้อมกับการพิพากษาคดีในส่วนอาญาเลย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และไม่เป็นภาระแก่คู่ความที่จะต้องฟ้องเป็นคดีแพ่ง และแก่ศาลที่ต้องพิจารณาคดีแพ่งนั้นเป็นอีกคดีหนึ่ง
- ตามวรรคนี้ คงนำอายุความสำหรับความผิดทางอาญา มาใช้กับการฟ้องคดีที่ผู้ถูกทำละเมิดฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดเท่านั้น ไม่นำอายุความสำหรับความผิดทางอาญา มาใช้กับการฟ้องคดีที่ผู้ถูกทำละเมิดฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ที่ต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับผู้ทำละเมิด แต่ไม่ได้เป็นผู้ทำละเมิด หรือผู้ร่วมทำละเมิดด้วย เช่น นายจ้าง ตามมาตรา 425 หรือตัวการ ตามมาตรา 425 หรือบิดามารดาหรือผู้อนุบาล ตามมาตรา 429 หรือครูอาจารย์หรือนายจ้างหรือบุคคลอื่นที่ดูแลผู้ไร้ความสามารถ ตามมาตรา 430
- ดังนั้น การฟ้องคดีที่ผู้ถูกทำละเมิดฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ที่ต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับผู้ทำละเมิด ตามมาตรา 425 , 427 ,429 และมาตรา 430 จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี หรือ 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง เช่นเดิม
- ตามมาตรา 449 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า บุคคลใดเมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หมายความว่า
- คำว่า บุคคลใด หมายถึง บุคคลธรรมดา
- แต่ถ้าผู้กระทำเป็นผู้มีอำนาจทำแทนนิติบุคคล และได้ทำเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคลนั้นด้วย นิติบุคคลนั้นย่อมเป็นผู้ร่วมกระทำตามวรรคนี้ กับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้กระทำการนั้นได้
- คำว่า เมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี หมายถึง เมื่อมีการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามป.อ. มาตรา 68
- ข้อความในประโยคนี้เป็นการบัญญัติให้สอดคล้องกับการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามป.อ. มาตรา 68 ซึ่งการกระทำนั้นไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา ตามวรรคนี้การกระทำนั้นแม้ไม่ได้บัญญัติว่า ไม่เป็นการทำละเมิด ตามมาตรา 420 แต่การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามป.อ. มาตรา 68 ผู้กระทำสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ใช่การทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย ตามมาตรา 420 การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมไม่เป็นการทำละเมิดต่อผู้อื่น ตามมาตรา 420 ความในวรรคนี้จึงบัญญัติให้ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438
- การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามวรรคนี้ ต้องเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ ตามป.อ. มาตรา 68 เท่านั้น หากเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น หรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ตามป.อ. มาตรา 69 ไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- คำว่า กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หมายถึง ทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานของรัฐ คือ มีกฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานของรัฐออกคำสั่งนั้นได้ และคำสั่งดังกล่าวนั้นต้องอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายที่ให้อำนาจนั้นอย่างเคร่งครัดด้วย เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานจราจรมีอำนาจออกคำสั่ง ให้ผู้ขับขี่เคลื่อนย้ายรถที่หยุด หรือจอดฝ่าฝืนบทบัญญัติตามพ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ได้ ถ้าผู้ขับขี่ไม่เคลื่อนย้ายรถนั้น เจ้าพนักงานจราจรมีอำนาจเคลื่อนย้ายรถนั้น หรือมีอำนาจมอบหมายให้บุคคลใดเคลื่อนย้ายรถนั้นแทนได้ ตามมาตรา 58 วรรคสอง แต่ถ้ารถที่หยุดหรือจอดไม่ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามพ.ร.บ.จราจรทางบกฯ หากเจ้าพนักงานจราจรออกคำสั่งตามมาตรา 58 วรรคหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์อื่นแม้เจ้าพนักงานจราจรจะเข้าใจว่า มีเหตุผลที่จะออกคำสั่งนั้นได้ก็ตาม คำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรย่อมเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- ข้อความในประโยคนี้เป็นการบัญญัติให้สอดคล้องกับการทำตามคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามป.อ. มาตรา 70 ซึ่งถือว่าการกระทำนั้นยังเป็นความผิดทางอาญาอยู่ เพียงแต่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษเท่านั้น
- การทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน ตามป.อ. มาตรา 70 ไม่ได้บัญญัติว่า คำสั่งดังกล่าวต้องเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม คำสั่งของเจ้าพนักงาน ตามป.อ. มาตรา 70 กลับมีความหมายถึงคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ผู้กระทำมีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งนั้น หรือผู้กระทำเข้าใจโดยสุจริตว่า คำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้กระทำจะมีหน้าที่ทำตามคำสั่งนั้นหรือเข้าใจโดยสุจริตก็ตาม การกระทำของผู้กระทำซึ่งทำตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ย่อมเป็นการกระทำความผิดอยู่นั่นเอง เพียงแต่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ ตามป.อ. มาตรา 70 เท่านั้น หากมีผู้ได้รับความเสียหาย ผู้นั้นย่อมทำการปกป้องสิทธิของตนต่อผู้กระทำตามป.อ. มาตรา 70 ได้ และการกระทำของผู้นั้นถือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามป.อ. มาตรา 68 ทั้งผู้นั้นก็ไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อผู้กระทำตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ตามความในวรรคหนึ่งด้วย
- ตามวรรคนี้ เป็นการบัญญัติให้แคบลงและชัดเจนกว่าป.อ. มาตรา 70 โดยบัญญัติว่า ต้องเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ดังนั้น หากเป็นการทำตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้กระทำจะมีหน้าที่ทำตามคำสั่งนั้น หรือเข้าใจโดยสุจริตอย่างไรก็ตาม ก็ไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- การทำตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ไม่ได้บัญญัติว่า ไม่เป็นการทำละเมิด ตามมาตรา 420 แต่การทำตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้กระทำย่อมทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ใช่การทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย ตามมาตรา 420 การทำตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมไม่เป็นการทำละเมิดต่อผู้อื่น ตามมาตรา 420 ความในวรรคนี้จึงบัญญัติให้ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 เช่นเดียวกับการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
- ข้อความในประโยคนี้เป็นการบัญญัติให้สอดคล้องกับการทำตามคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามป.อ. มาตรา 70 ซึ่งถือว่าการกระทำนั้นยังเป็นความผิดทางอาญาอยู่ เพียงแต่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษเท่านั้น
- คำว่า หากก่อให้เกิดเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ หมายถึง เมื่อมีการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือมีการทำตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานของรัฐแล้ว การกระทำนั้นแม้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ทำให้เกิดการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือผู้ที่ทำให้เกิดการออกคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือผู้อื่น
- คำว่า ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หมายถึง ผู้ทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือผู้ทำตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานของรัฐ ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น เช่น เจ้าพนักงานจราจรสั่งให้ผู้ขับขี่เคลื่อนย้ายรถที่หยุดหรือจอดฝ่าฝืนบทบัญญัติตามพ.ร.บ.จราจรทางบกฯ แต่ผู้นั้นไม่ยอมเคลื่อนย้ายรถ เจ้าพนักงานจราจรจึงมีคำสั่งมอบหมายให้ช่างยกรถมาเคลื่อนย้ายรถนั้นแทนผู้ขับขี่ โดยใช้อุปกรณ์ในการยกรถ จึงทำให้กันชนของรถนั้นบุบ หรือเสียหาย ดังนี้ ช่างยกรถไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกันชนรถนั้น
- คำว่า หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ เป็นการร่างกฎหมายในลักษณะปฏิเสธ หรือกลับทางกับการใช้ภาษาตามปกติ ที่ใช้ว่า ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน และมักเป็นวลีที่นักกฎหมายชอบใช้
- มีหลักในการใช้วลีดังกล่าวนี้ คือ หากมีคำว่า “หา” ที่ต้นประโยคแล้ว จะต้องมีคำว่า “ไม่” หรือคำว่า “ได้ไม่” อยู่ท้ายประโยคนั้นเสมอ
- คำว่า “หา …. ไม่” มักมีความหมายในเชิงบวก หรือ Positive
- แต่คำว่า “หา …. ได้ไม่” มักมีความหมายในเชิงลบ หรือ Negative
- คำว่า หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ เป็นการร่างกฎหมายในลักษณะปฏิเสธ หรือกลับทางกับการใช้ภาษาตามปกติ ที่ใช้ว่า ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน และมักเป็นวลีที่นักกฎหมายชอบใช้
- คำว่า บุคคลใด หมายถึง บุคคลธรรมดา
- ตามมาตรา 449 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ผู้ต้องเสียหายอาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือจากบุคคลผู้ให้คำสั่งโดยละเมิดก็ได้ หมายความว่า
- คำว่า ผู้ต้องเสียหาย หมายถึง ผู้ได้รับความเสียหาย มีความหมายเดียวกับมาตรา 420
- นอกจากนี้ยังหมายรวมถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วพลาด ตามป.อ. มาตรา 60 ด้วย
- คำว่า อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก หมายถึง เรียกค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 หรือตามมาตราต่อมา จากบุคคลตามข้อความถัดไป
- คำว่า อาจ หมายถึง ผู้ได้รับความเสียหายจะเรียกค่าสินไหมทดแทน หรือไม่เรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้นั้น ย่อมมีสิทธิเลือกได้
- คำว่า ผู้เป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง ผู้ที่ทำให้เกิดการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย คือ ผู้ที่ทำผิดกฎหมาย จนผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำนั้น ต้องทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ผู้ที่ใช้ไม้วิ่งไล่ทำร้ายผู้อื่น หรือผู้ที่วิ่งราวทรัพย์ของผู้อื่น
- คำว่า จากบุคคลผู้ให้คำสั่งโดยละเมิดก็ได้ หมายถึง ผู้ที่ออกคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น แม้ว่าคำสั่งนั้นจะเป็นคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้ผู้ออกคำสั่ง หรือผู้ทำตามคำสั่งนั้นไม่ต้องรับโทษในทางอาญาก็ตาม ตามวรรคนี้คงบัญญัติให้เฉพาะผู้ทำตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ที่ไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อผู้อื่น แต่ยังคงให้ผู้ออกคำสั่งนั้น เป็นผู้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ได้รับความเสียหายแทนผู้ที่ทำตามคำสั่งของตนเอง
- คำว่า โดยละเมิด เป็นคำทั่วไป หมายถึง ทำให้เกิดความเสียหาย มีความหมายเช่นเดียวกับ มาตรา 433 วรรคสอง
- ไม่ได้มีความหมายถึง การทำละเมิด ตามมาตรา 420 ซึ่งมักใช้คำว่า มิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 421 หรือเป็นผู้ผิด ตามมาตรา 422 หรือเพื่อความเสียหาย ตามมาตรา 428 หรือในผลแห่งละเมิดซึ่งได้กระทำ ตามมาตรา 425 หรือเพื่อละเมิดอันได้ทำ ตามมาตรา 426
- เมื่อเป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ใช่การทำโดยผิดกฎหมาย ย่อมไม่เป็นละเมิด ตามมาตรา 420 แต่ก็ไม่ได้หมายความไปถึงขนาดว่า เมื่อเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้ออกคำสั่งนั้นจะไม่ต้องรับผิดในทางใดเลย หากมีความเสียหายแก่ผู้อื่นเกิดขึ้น แม้ผู้ออกคำสั่งนั้นอาจจะไม่ต้องรับโทษในทางอาญา หรือไม่เป็นละเมิด แต่ผู้ได้รับความเสียหายก็อาจไม่ได้ทำผิดอย่างใดเลยเช่นกัน ทั้งผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในลักษณะละเมิดนี้ ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นผู้ทำละเมิดเท่านั้น เช่น เจ้าของสัตว์หรือผู้รับเลี้ยงรับรักษา ตามมาตรา 433 หรือเจ้าของโรงเรือน หรือผู้ครองโรงเรือน ตามมาตรา 434 หรือผู้อยู่ในโรงเรือน ตามมาตรา 436 หรือผู้ครอบครองหรือผู้ควบคุมยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งของเกิดอันตรายได้ ตามมาตรา 437 ก็ไม่มีการทำละเมิด แต่ยังต้องรับผิดต่อผู้ได้รับความเสียหายเช่นกัน วรรคนี้จึงบัญญัติให้ผู้ออกคำสั่งที่แม้ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน
- คำว่า “ก็ได้” เป็นคำต่อท้ายประโยคของคำว่า “อาจ” หมายถึง ผู้ได้รับความเสียหายจะเรียกค่าสินไหมทดแทน หรือไม่เรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้นั้น ย่อมมีสิทธิเลือกได้
- เป็นลักษณะการจัดรูปประโยคคล้ายกับคำว่า “หา” ที่ต้นประโยคแล้ว จะต้องมีคำว่า “ไม่” หรือ “ได้ไม่” ตามความหมายที่กล่าวถึง อยู่ท้ายประโยคนั้นเสมอ
- คำว่า โดยละเมิด เป็นคำทั่วไป หมายถึง ทำให้เกิดความเสียหาย มีความหมายเช่นเดียวกับ มาตรา 433 วรรคสอง
- คำว่า ผู้ต้องเสียหาย หมายถึง ผู้ได้รับความเสียหาย มีความหมายเดียวกับมาตรา 420
- ตามมาตรา 450 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ถ้าบุคคลทำบุบสลาย หรือทำลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะบำบัดปัดป้องภยันตรายซึ่งมีมาเป็นสาธารณะโดยฉุกเฉิน ท่านว่าไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หากความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุภยันตราย หมายความว่า
- คำว่า ถ้าบุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดา
- แต่ถ้าผู้กระทำเป็นผู้มีอำนาจทำแทนนิติบุคคล และได้ทำเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคลนั้นด้วย นิติบุคคลนั้นย่อมเป็นผู้ร่วมกระทำตามวรรคนี้ กับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้กระทำการนั้นได้ มีความหมายเช่นเดียวกับมาตรา 449
- คำว่า ทำบุบสลาย หมายถึง ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายบางส่วน
- คำว่า หรือทำลาย หมายถึง ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายทั้งหมด จนไม่สามารถใช้การได้อีก
- คำว่า ทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด หมายถึง ทรัพย์สินอันใดอันหนึ่ง จะเป็นของบุคคลใด หรือไม่เป็นของบุคคลใด ก็อยู่ในความหมายตามวรรคนี้ทั้งสิ้น
- คำว่า เพื่อจะบำบัดปัดป้อง หมายถึง เพื่อจะระงับ หรือทำให้ไม่เกิดภัยหรืออันตรายขึ้น หรือทำให้ภัยหรืออันตรายนั้นพ้นไป
- คำว่า บำบัดปัดป้อง เป็นคำที่ใช้วลีมีคำสร้อยแบบโบราณ
- คำว่า ภยันตราย หมายถึง ภัยหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น แต่ไม่ได้บัญญัติว่า จะต้องเป็นภัยหรืออันตรายที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ เกิดจากการกระทำโดยฝ่าฝืนกฎหมายของบุคคล หรือไม่ ดังนั้น แม้ภัยหรืออันตรายที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่ได้เกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมาย ก็อยู่ในความหมายตามวรรคนี้ เช่น ภัยที่เกิดจากช้างป่าจะเข้ามาทำร้ายคนในหมู่บ้าน หรือภัยที่เกิดจากน้ำป่าจะไหลมาทำความเสียหายแก่คนในหมู่บ้าน
- หากภัยหรืออันตรายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นภัยหรืออันตรายที่เกิดโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และผู้ที่กระทำการปกป้องสิทธิของตนหรือของผู้อื่น ก็มีเจตนาป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นต่อภัยหรืออันตรายนั้น การกระทำดังกล่าวจะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามป.อ.มาตรา 68 ซึ่งอยู่ในความหมายตามมาตรา 449
- แต่การกระทำของผู้กระทำไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้กระทำไม่มีเจตนาจะป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่น โดย เข้าใจว่าภัยหรืออันตรายนั้น ไม่ได้เกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมาย แม้ว่าภัยหรืออันตรายนั้นจะเกิดจากการกระทำโดยฝ่าฝืนกฎหมายก็ตาม เช่น ภัยเกิดจากสุนัขซึ่งเจ้าของปล่อยปละละเลย ไม่เลี้ยงหรือดูแลรักษาให้ดี ได้เข้ามาทำร้ายผู้กระทำ ซึ่งการปล่อยปละละเลยของเจ้าของสุนัขเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายแก่กาย ตามป.อ. มาตรา 390 อันเป็นการกระทำโดยฝ่าฝืนกฎหมาย แต่ผู้กระทำเข้าใจว่าเป็นสุนัขจรจัด ซึ่งเดินหากินไปทั่วไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงโดยปล่อยปละละเลยของผู้ใด จึงไม่มีการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย การที่ผู้กระทำทำร้ายสุนัขนั้น ผู้กระทำไม่ได้มีเจตนาจะป้องกันสิทธิของตนแต่อย่างใด คงมีเจตนากระทำเพื่อให้ตนเองพ้นอันตรายจากสุนัขเท่านั้น การกระทำของผู้กระทำจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามป.อ.มาตรา 68 ไม่อยู่ในความหมายของมาตรา 449 แต่เป็นการกระทำด้วยความจำเป็น ตามป.อ.มาตรา 67 ซึ่งอยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- ถ้าภัยหรืออันตรายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่เป็นภัยหรืออันตรายที่เกิดโดยฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว ผู้ที่กระทำการปกป้องสิทธิของตนหรือของผู้อื่นต่อภัยหรืออันตรายนั้น การกระทำดังกล่าวจะเป็นการกระทำด้วยความจำเป็น ตามป.อ.มาตรา 67 ซึ่งอยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- คำว่า ซึ่งมีมาเป็นสาธารณะ หมายถึง ภัยหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นโดยส่วนรวม หรือหลายคน ไม่ใช่ภัยหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของบุคคลเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น เช่น ภัยหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับคนเกือบทั้งหมู่บ้าน หรือทั้งตำบล
- คำว่า โดยฉุกเฉิน หมายถึง เกิดขึ้นโดยฉับพลัน หรือโดยไม่คาดคิดมาก่อน ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้มีหน้าที่ระงับหรือป้องกันภัยหรืออันตรายตามกฎหมายได้ทัน และหากไม่กระทำการเพื่อระงับ หรือป้องกันโดยทันทีแล้วจะเกิดความเสียหายขึ้นอย่างมาก
- คำว่า ท่านว่าไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หมายถึง ผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้น ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438
- คำว่า หากความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุภยันตราย หมายถึง เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินนั้นแล้ว ไม่เกินกว่าความเสียหายที่คนหมู่มาก หรือส่วนรวมจะได้รับจากภัยหรืออันตรายนั้น อาจนำทฤษฎีสัดส่วนที่ใช้ในการวินิจฉัยเรื่องพอสมควรแก่เหตุ ตามป.อ. มาตรา 67 และมาตรา 68 มาพิจารณาได้ เช่น เพื่อจะเบี่ยงทางน้ำป่าที่จะพัดเข้ามาทำความเสียหายแก่หมู่บ้านซึ่งมี 20 – 30 หลังคาเรือน จึงต้องทำลายบ้านไป 1 – 2 หลัง เพื่อเปิดทางน้ำให้พัดไปทางอื่น
- แต่การกระทำตามวรรคนี้ จำกัดเฉพาะทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายเท่านั้น การทำให้ชีวิต หรือร่างกายของผู้อื่นได้รับความเสียหาย ไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- คำว่า ถ้าบุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดา
- ตามมาตรา 450 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ถ้าบุคคลทำบุบสลาย หรือทำลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะบำบัดปัดป้องภยันตรายอันมีแก่เอกชนโดยฉุกเฉิน ผู้นั้นจะต้องใช้คืนทรัพย์นั้น หมายความว่า
- คำว่า ถ้าบุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดา มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า ทำบุบสลาย หมายถึง ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายบางส่วน มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า หรือทำลาย หมายถึง ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายทั้งหมด จนไม่สามารถใช้การได้อีก มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า ทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด หมายถึง ทรัพย์สินอันใดอันหนึ่ง จะเป็นของบุคคลใด หรือไม่เป็นของบุคคลใดก็ตาม มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า เพื่อจะบำบัดปัดป้อง หมายถึง เพื่อจะระงับ หรือทำให้ไม่เกิดภัยหรืออันตรายขึ้น หรือทำให้ภัยหรืออันตรายนั้นพ้นไป มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า บำบัดปัดป้อง เป็นคำที่ใช้วลีมีคำสร้อยแบบโบราณ
- คำว่า ภยันตราย หมายถึง ภัยหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า อันมีแก่เอกชน หมายถึง ภัยหรืออันตรายนั้นจะเกิดขึ้นกับบุคคลใด หรือทรัพย์สินของบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจง เพียงคนเดียว หรือเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น เช่น ภัยที่เกิดจากน้ำป่าจะไหลมาทำความเสียหายแก่บ้านที่ปลูกอยู้ริมทางน้ำเพียง 1-2 หลังคาเรือน เท่านั้น
- คำว่า โดยฉุกเฉิน หมายถึง เกิดขึ้นโดยฉับพลัน หรือโดยไม่คาดคิดมาก่อน มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า ผู้นั้นจะต้องใช้คืนทรัพย์นั้น หมายถึง ผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้น ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่เจ้าของทรัพย์ที่ได้ทำให้เกิดความเสียหายนั้น เช่น เพื่อจะเบี่ยงทางน้ำป่าที่จะพัดเข้ามาทำความเสียหายแก่บ้านที่ปลูกอยู้ริมทางน้ำเพียง 1-2 หลังคาเรือน จึงต้องขุดที่นาของผู้อื่นซึ่งปลูกข้าวอยู่แล้วบางส่วน เพื่อเปิดทางน้ำให้พัดไปทางอื่น จึงทำให้ข้าวที่ปลูกไว้ได้รับความเสียหาย
- การใช้คืนทรัพย์แก่เจ้าของทรัพย์ที่ได้รับความเสียหายตามวรรคนี้นั้น รวมถึงการใช้เงินเป็นค่าสินไหมทดแทนด้วย ไม่ได้หมายความถึง การนำทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายนั้น กลับมาคืนแก่เจ้าของทรัพย์สินจริง ๆ
- การทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายดังกล่าวมานี้ ถือเป็นการกระทำตามที่วรรคนี้อนุญาตให้ทำได้ การกระทำของผู้กระทำย่อมไม่เป็นการทำละเมิด ตามมาตรา 420 เพราะไม่ใช่การทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
- การกระทำตามวรรคนี้ จำกัดเฉพาะทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายเท่านั้น การทำให้ชีวิต หรือร่างกายของผู้อื่นได้รับความเสียหาย ไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- ตามมาตรา 450 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ถ้าบุคคลทำบุบสลาย หรือทำลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะป้องกันสิทธิของตนหรือของบุคคลภายนอกจากภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉิน เพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ บุคคลเช่นว่านี้หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หากว่าความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ แต่ถ้าภยันตรายนั้นเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลนั้นเองแล้ว ท่านว่าจำต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ หมายความว่า
- คำว่า ถ้าบุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดา มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า ทำบุบสลาย หมายถึง ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายบางส่วน มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า หรือทำลาย หมายถึง ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายทั้งหมด จนไม่สามารถใช้การได้อีก มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า ทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด หมายถึง ทรัพย์สินอันใดอันหนึ่ง จะเป็นของบุคคลใด หรือไม่เป็นของบุคคลใดก็ตาม มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า เพื่อจะป้องกัน หมายถึง เพื่อจะระงับ หรือทำให้ไม่เกิดภัยหรืออันตรายขึ้น หรือทำให้ภัยหรืออันตรายนั้นพ้นไป มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า บำบัดปัดป้อง
- แม้ตามวรรคนี้จะใช้คำว่า ป้องกันสิทธิ แต่ก็ไม่ได้หมายถึง การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในความหมายตามมาตรา 449
- คำว่า สิทธิของตนหรือของบุคคลภายนอก หมายถึง สิทธิในชีวิต หรือในร่างกาย หรือเสรีภาพ หรือในทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างอื่นของบุคคล มีความหมายเช่นเดียวกับมาตรา 420
- คำว่า จากภยันตราย หมายถึง ภัยหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า อันมีมาโดยฉุกเฉิน หมายถึง เกิดขึ้นโดยฉับพลัน หรือโดยไม่คาดคิดมาก่อน มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า เพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ หมายถึง ภัยหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นนั้น เกิดจากตัวทรัพย์นั้นเอง เช่น รถยนต์ที่เจ้าของรถติดเครื่องไว้ แล้วออกไปทำธุระในบ้านไม่อยู่ในตัวรถ ได้แล่นมาจะชนผู้ที่เดินผ่านไปมาในบริเวณนั้น หรือจะพุ่งเข้าไปในบ้านของผู้อื่นที่อยู่ข้างเคียง
- คำว่า บุคคลเช่นว่านี้ หมายถึง ผู้ที่ทำให้ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดภัยหรืออันตรายนั้น เสียหายหรือถูกทำลายจนใช้การไม่ได้
- คำว่า หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หมายถึง ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่เจ้าของทรัพย์ที่ได้รับความเสียหายนั้น
- เนื่องจากตัวทรัพย์สินนั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดภัยหรืออันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น ย่อมถือว่าเป็นความผิดของเจ้าของทรัพย์ หรือของผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้นที่ต้องรับผิดชอบ แม้ว่าการกระทำของเจ้าของทรัพย์ หรือของผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอาจจะไม่เป็นละเมิดก็ตาม
- แต่ถ้าความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นนั้น เจ้าของทรัพย์ หรือผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้นจะต้องรับผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามลักษณะละเมิดนี้ เจ้าของทรัพย์ หรือผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้นก็จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลอื่นที่ได้รับความเสียหายนั้นด้วย เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากวรรคนี้
- เป็นลักษณะการจัดรูปประโยคของคำว่า “หา” ที่ต้นประโยคแล้ว จะต้องมีคำว่า “ไม่” หรือ “ได้ไม่” ตามความหมายที่กล่าวถึง อยู่ท้ายประโยคนั้นเสมอ
- คำว่า หากว่าความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ หมายถึง เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินนั้นแล้ว ไม่เกินกว่าความเสียหายที่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นจะได้รับ มีความหมายเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง
- คำว่า แต่ถ้าภยันตรายนั้นเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลนั้นเองแล้ว หมายถึง ผู้ที่ทำให้ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดภัยหรืออันตรายนั้น เสียหายหรือถูกทำลายจนใช้การไม่ได้ กลับเป็นผู้ที่ทำให้ทรัพย์สินนั้นก่อภัยหรืออันตรายขึ้นเอง เช่น ผู้ที่ทำให้รถยนต์ที่เจ้าของรถจอดทิ้งไว้ริมถนนแต่ได้ดับเครื่องยนต์แล้ว และออกไปทำธุระในบ้านไม่อยู่ในตัวรถ เสียหายหรือถูกทำลายจนใช้การไม่ได้นั้น เป็นผู้ที่เข้าไปติดเครื่องยนต์ของรถคันดังกล่าวจนแล่นมาจะชนผู้ที่เดินผ่านไปมาในบริเวณนั้น หรือจะพุ่งเข้าไปในบ้านของผู้อื่นที่อยู่ข้างเคียงนั้นเสียเอง
- คำว่า ท่านว่าจำต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ หมายถึง ผู้ที่ทำให้ทรัพย์สินนั้นก่อภัยหรืออันตรายขึ้น และเป็นผู้ที่ทำให้ทรัพย์สินนั้น เสียหายหรือถูกทำลายจนใช้การไม่ได้เอง ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่ได้รับความเสียหาย และให้แก่เจ้าของทรัพย์ที่ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายจนใช้การไม่ได้นั้นด้วย
- ตามมาตรา 451 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า บุคคลใช้กำลังเพื่อป้องกันสิทธิของตน ถ้าตามพฤติการณ์จะขอให้ศาลหรือเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือให้ทันท่วงทีไม่ได้ และถ้ามิได้ทำในทันใด ภัยมีอยู่ด้วยการที่ตนจะได้สมดังสิทธินั้นจะต้องประวิงไปมากหรือถึงแก่สาบสูญได้ไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หมายความว่า
- คำว่า บุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดา
- แต่ถ้าผู้กระทำเป็นผู้มีอำนาจทำแทนนิติบุคคล และได้ทำเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคลนั้นด้วย นิติบุคคลนั้นย่อมเป็นผู้ร่วมกระทำตามวรรคนี้ กับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้กระทำการนั้นได้
- คำว่า ใช้กำลัง หมายถึง การกระทำ หรือการเคลื่อนไหวร่างกาย
- แม้จะใช้คำว่า ใช้กำลัง แต่ไม่ได้มีความหมายถึงขนาดว่า เป็นการใช้ความรุนแรง หรือเป็นการตอบโต้ หรือทำให้เกิดอันตราย หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด คงมีลักษณะเป็นการใช้กำลังเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติการณ์หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความรำคาญ หรือเกิดความหงุดหงิด หรือเกิดการขัดขวางการใช้สิทธิของตนเสียมากกว่า
- ลักษณะของการใช้กำลัง ต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสองด้วย
- คำว่า เพื่อป้องกันสิทธิของตน หมายถึง วัตถุประสงค์ในการใช้กำลังนั้น จะต้องเป็นไปเพื่อหลีกเลี่ยง หรือหยุด หรือทำให้ไม่เกิดภัยหรืออันตรายขึ้น หรือทำให้ภัยหรืออันตรายนั้นพ้นไป หรือหมดไปเท่านั้น มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า บำบัดปัดป้อง ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสอง
- แม้ตามวรรคนี้จะใช้คำว่า ป้องกันสิทธิ แต่ก็ไม่ได้หมายถึง การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในความหมายตามมาตรา 449
- คำว่า ถ้าตามพฤติการณ์ หมายถึง ตามข้อเท็จจริง หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือตามลักษณะหรือการกระทำที่ทำให้เกิดการใช้กำลังเพื่อป้องกัน หรือปกป้อง หรือคุ้มครองสิทธิ หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่ทำให้เกิดการใช้กำลังเพื่อป้องกัน หรือปกป้อง หรือคุ้มครองสิทธิ หรือ Objective
- ตามวรรคนี้ เพียงใช้คำว่า พฤติการณ์ ไม่ได้ใช้คำว่า ภยันตราย เหมือนในมาตรา 449 และมาตรา 450 และผลของเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นตามวรรคนี้ ตามตัวบทภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Frustrated คือ ทำให้รำคาญ หรือทำให้หงุดหงิด และคำว่า Scriously impeded คือ มีการขัดขวางอย่างจริงจัง เท่านั้น ไม่ใช่เหตุการณ์หรือพฤติการณ์ที่ทำให้เกิดภัย หรืออันตราย หรือความเสียหายต่อสิทธิของผู้อื่น หรือต่อทรัพย์สินของผู้อื่นจนถึงกับต้องทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือต้องกระทำการด้วยความจำเป็น เหมือนในมาตรา 449 และมาตรา 450
- เหตุการณ์หรือพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นตามวรรคนี้ จึงมีลักษณะที่ย่อหย่อนกว่าภยันตราย ตามมาตรา 449 และมาตรา 450 แต่เป็นเหตุการณ์ หรือพฤติการณ์ที่แค่มารบกวนการใช้สิทธิของผู้อื่น ให้เกิดความรำคาญ หรือความหงุดหงิดในการใช้สิทธิของผู้อื่น หรือในการใช้สิทธิในทรัพย์สินของผู้อื่น หรือในการอยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น ไม่ได้มาทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิทธิของผู้อื่น หรือต่อทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งเป็นกรณีตามมาตรา 449 และมาตรา 450 เช่น น้ำฝนที่ระบายทิ้งจากหลังคาบ้านข้างเคียง กระเด็นมาถูกทรัพย์สิน หรือถูกสัตว์เลี้ยงของบ้านผู้กระทำ หรือถูกคนที่เดินสัญจรไปมาบนทางเท้าด้านล่างจนเปียก หรือสกปรก หรือต้นไม้ที่ปลูกไว้ที่ริมรั้วของบ้านข้างเคียง ผลไม้ของต้นไม้นั้นหล่นลงมาโดนบ้านผู้กระทำก่อให้เกิดเสียงดังรำคาญ หรือรถยนต์ของบ้านข้างเคียง หรือของบุคคลอื่นจอดขวางหน้าประตูบ้านผู้กระทำ ทำให้เข้าหรือออกจากบ้านไม่ได้ชั่วคราว
- คำว่า จะขอให้ศาล หมายถึง การฟ้องคดี หรือยื่นคำร้องต่อศาล
- เมื่อมีการกล่าวอ้างว่าผู้ใดถูกคุมขังในคดีอาญา หรือในกรณีอื่นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้น หรือพนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวน หรือผู้บัญชาการเรือนจำ หรือสามี หรือภริยา หรือญาติของผู้นั้น หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขัง เช่น นายจ้าง หรือตัวการ หรือครูอาจารย์หรือผู้ดูแลรักษา หรือผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ของบุคคลนั้น สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวผู้นั้นได้ด้วย ตามป.วิ.อ. มาตรา 90
- ตามป.วิ.อ. มาตรา 90 แม้จะถือเป็นการทำละเมิดอย่างหนึ่ง แต่ต้องยื่นคำร้องต่อศาลเท่านั้น จะใช้กำลังดำเนินการเองตามวรรคนี้ไม่ได้
- เมื่อมีการกล่าวอ้างว่าผู้ใดถูกคุมขังในคดีอาญา หรือในกรณีอื่นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้น หรือพนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวน หรือผู้บัญชาการเรือนจำ หรือสามี หรือภริยา หรือญาติของผู้นั้น หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขัง เช่น นายจ้าง หรือตัวการ หรือครูอาจารย์หรือผู้ดูแลรักษา หรือผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ของบุคคลนั้น สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวผู้นั้นได้ด้วย ตามป.วิ.อ. มาตรา 90
- คำว่า หรือเจ้าหน้าที่ หมายถึง เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพฤติการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นจากสัตว์ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง อาจเป็นเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ หรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ หรือเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หรือสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่เทศบาล
- คำว่า ช่วยเหลือ หมายถึง ผู้กระทำนั้น ไม่สามารถยื่นคำฟ้องหรือยื่นคำร้องต่อศาล หรือไม่สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ช่วยปกป้องหรือคุ้มครองสิทธิของตนหรือของผู้อื่น เช่น บิดามารดา หรือสามีหรือภริยา หรือบุตร หรือเพื่อนบ้านของผู้กระทำ ให้พ้นจากเหตุการณ์ หรือเรื่องที่ทำให้ต้องใชักำลังนั้นได้
- คำว่า ให้ทันท่วงทีไม่ได้ หมายถึง ไม่สามารถยื่นคำฟ้องหรือยื่นคำร้องต่อศาล หรือไม่สามารถแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ศาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น เข้ามาช่วยเหลือปกป้องหรือคุ้มครองสิทธิของผู้กระทำหรือของผู้อื่นได้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น หรือก่อนที่จะเกิดความเสียหายแก่สิทธิ หรือทรัพย์สินของผู้กระทำหรือของผู้อื่นขึ้น
- แต่ถ้าเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว หรือเกิดมาเป็นประจำ ต้องยื่นคำฟ้องหรือยื่นคำร้องต่อศาล หรือแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดำเนินการให้ ไม่ถือว่าอยู่ในความหมายตามวรรคนี้ เช่น มีบ้านที่เลี้ยงไก่ หรือเป็ดอยู่ในบ้านจำนวนมาก จนทำให้ขี้ไก่ หรือขี้เป็ดนั้นส่งกลิ่นเหม็นรบกวนการพักอาศัยของบ้านหลังอื่น ๆ ในบริเวณนั้นมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ดังนี้ ต้องยื่นคำฟ้องต่อศาล หรือแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดำเนินการให้ เจ้าของบ้านใกล้เคียงจะใช้กำลังดำเนินการเพื่อขจัดกลิ่นเหม็นนั้นเอง ไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- คำว่า และถ้ามิได้ทำในทันใด หมายถึง ถ้าไม่ได้ทำในขณะเกิดเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ที่ทำให้ต้องใช้กำลังนั้น
- คำว่า ภัยมีอยู่ด้วย หมายถึง ภัย หรือความเสียหายนั้น มีอยู่เพียงแค่ ตามข้อความที่จะกล่าวต่อไปเท่านั้น
- คำว่า การที่ตนจะได้สมดังสิทธินั้นจะต้องประวิงไปมาก หมายถึง เมื่อผู้กระทำตามวรรคนี้จะใช้สิทธิของตน หรือสิทธิในทรัพย์สินของตน เช่น ผู้กระทำจะเดินทางไปมา หรือจะเข้าออกจากบ้าน หรือจะใช้ประโยชน์จากพื้นที่บริเวณรอบ ๆ บ้าน ต้องเกิดความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือถูกขัดขวางการใช้สิทธินั้น
- คำว่า ประวิงไปมาก ตามตัวบทภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Frustrated ซึ่งมีความหมายว่า ทำให้รำคาญ หรือทำให้หงุดหงิด ไม่ตรงกับการถ่วงเวลา หรือทำให้ล่าช้า หรือทำให้นานออกไป ตามความหมายในปัจจุบันของคำว่า ประวิง ซึ่งเดิมอาจมีความหมายว่า ด้อยลง หรือลดน้อยลง
- คำว่า หรือถึงแก่สาบสูญได้ไซร้ หมายถึง มีการขัดขวางไม่ให้ผู้กระทำตามวรรคนี้ใช้สิทธิของตน หรือใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนได้ ไม่ว่าการขัดขวางนั้นจะเกิดจากความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น มีผู้นำรถมาจอดขวางหน้าประตูบ้าน จนทำให้ผู้กระทำไม่สามารถขับรถออกไปทำงาน หรือไปพบแพทย์ หรือไปทำธุระอย่างอื่นได้
- คำว่า สาบสูญได้ ตามตัวบทภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Scriously impeded ซึ่งมีความหมายว่า การขัดขวางอย่างจริงจัง หรือการขัดขวางอย่างแน่นอน ไม่ตรงกับการสูญหาย ตามความหมายปกติของคำว่า สาบสูญ
- คำว่า ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หมายถึง การที่ผู้กระทำตามวรรคนี้ ได้กระทำเพื่อหลีกเลี่ยงความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือการขัดขวางการใช้สิทธิของตน หรือสิทธิในทรัพย์สินของตนนั้น ให้หยุดลง หรือพ้นไป หรือหมดไปนั้น ได้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นบ้างแก่บุคคลใด หรือแก่เจ้าของทรัพย์ที่มาทำความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือขัดขวางการใช้สิทธินั้น ผู้กระทำตามวรรคนี้ก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น มีผู้นำรถมาจอดขวางหน้าประตูบ้าน จนทำให้ผู้กระทำไม่สามารถขับรถออกไปทำงาน หรือไปพบแพทย์ หรือไปทำธุระอย่างอื่นได้ ผู้กระทำจึงต้องนำแม่แรงมายกรถคันดังกล่าว หรือต้องเข็นรถคันดังกล่าวออกไปให้พ้นจากหน้าบ้านของตน ทำให้รถคันดังกล่าวเกิดรอยขีดข่วนขึ้นใต้กันชนหรือที่ฝากระโปรงหลังเล็กน้อย หรือน้ำฝนจากกันสาดของบ้านข้างเคียงกระเด็นเข้ามาในบ้าน จนทำให้ผู้กระทำต้องนำแผ่นไม้มาบังน้ำฝนที่กระเด็นมานั้น ทำให้น้ำฝนนั้นกระเด็นกลับไปโดนทรัพย์สินในบ้านข้างเคียงเปียกหรือสกปรก ดังนี้ ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดรอยขีดข่วนใต้กันชนหรือที่ฝากระโปรงหลังของรถคันดังกล่าว หรือที่ทรัพย์สินในบ้านข้างเคียงเปียกหรือสกปรกจากน้ำฝนนั้น
- แม้วรรคนี้ไม่ได้บัญญัติว่า การกระทำเพื่อบำบัดปัดป้องสิทธิของผู้กระทำนั้น จะต้องกระทำพอสมควรแก่เหตุ หรือความเสียหายที่เกิดแก่ผู้อื่นนั้นต้องไม่เกินสมควรแก่เหตุก็ตาม แต่เมื่อการกระทำของผู้กระทำก็อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้กระทำจึงต้องกระทำพอสมควรแก่เหตุ หรือความเสียหายที่เกิดแก่ผู้อื่นนั้นต้องไม่เกินสมควรแก่เหตุ คือ เกินกว่าความเสียหายที่ได้รับจากความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือการไม่ได้ใช้สิทธิของตน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นความเสียหายทางอารมณ์ หรือทางจิตใจเสียมากกว่า จึงจะถือเป็นการกระทำตามความหมายในวรรคนี้
- พฤติการณ์ หรือเหตุการณ์ หรือภัยที่กล่าวในมาตรานี้ มีลักษณะเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความรำคาญ หรือเป็นสิ่งรบกวน หรือ Nuisance การใช้สิทธิของผู้กระทำเท่านั้น ไม่ได้เป็นภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงแก่บุคคล หรือสิทธิ หรือทรัพย์สินของบุคคล จนถึงกับต้องมีการกระทำต่อภัยนั้นเพื่อป้องกันสิทธิ ตามป.อ. มาตรา 68 หรือมีการกระทำต่อภัยนั้นด้วยความจำเป็น ตามป.อ. มาตรา 67
- ตามปกติการกระทำที่ก่อให้เกิดความรำคาญ หรือเป็นสิ่งรบกวนการใช้สิทธิของบุคคลอื่น บุคคลที่ถูกรบกวน หรือถูกก่อความรำคาญ ก็มักจะหลีกเลี่ยงไปเสียเท่านั้น ก็พ้นจากความรำคาญ หรือจากสิ่งรบกวนนั้นได้แล้ว แต่บางครั้งการหลีกเลี่ยงอาจต้องใช้กำลังบ้างเล็กน้อย การกระทำดังกล่าวจึงอยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- คำว่า บุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดา
- ตามมาตรา 451 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า การใช้กำลังดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ท่านว่าต้องจำกัดครัดเคร่งแต่เฉพาะที่จำเป็นเพื่อจะบำบัดปัดป้องภยันตรายเท่านั้น หมายความว่า
- คำว่า การใช้กำลังดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หมายถึง การกระทำของผู้กระทำตามวรรคหนึ่ง ซึ่งได้กระทำเพื่อหยุด หรือทำให้ความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือการไม่ได้ใช้สิทธิของตนนั้นพ้นไป หรือหมดไป
- คำว่า ท่านว่าต้องจำกัดครัดเคร่ง หมายถึง การใช้กำลังเพื่อหยุด หรือทำให้ความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือการไม่ได้ใช้สิทธิของตนพ้นไป หรือหมดไปนั้น ต้องอยู่ภายในกรอบของทฤษฎีสัดส่วน โดยเข้มงวด หรือเคร่งครัดเท่านั้น
- ตามวรรคนี้ใช้คำว่า ครัดเคร่ง ไม่ได้ใช้คำว่า เคร่งครัด อย่างการใช้คำนี้ในปัจจุบัน ดังนั้น หากจะกล่าวอ้างว่าวรรคนี้บัญญัติไว้ว่าอย่างไร ต้องใช้คำว่า ครัดเคร่ง ไม่สามารถใช้คำว่า เคร่งครัด แทนได้ แต่ในการอธิบายความโดยทั่วไป อาจใช้คำว่า เคร่งครัด แทนได้
- คำว่า แต่เฉพาะที่จำเป็น หมายถึง เท่าที่ต้องทำเพื่อหลีกเลี่ยงความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือการไม่ได้ใช้สิทธิของตนให้หยุด หรือพ้นไป หรือหมดไปเท่านั้น การกระทำที่เกินไปกว่านั้น ไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้ เช่น มีรถมาจอดขวางรถของผู้กระทำที่จอดอยู่ในช่องจอดรถจนไม่สามารถขับออกไปได้ ผู้กระทำต้องเข็นรถคันดังกล่าวเลื่อนไปเพียงเพื่อรถของผู้กระทำขับออกไปได้เท่านั้น จะเข็นไปจอดไว้ห่างออกไปไกลกว่า 10 เมตร แม้ไม่ได้ทำให้รถคันดังกล่าวได้รับความเสียหาย ก็ไม่ถือเป็นการกระทำเฉพาะที่จำเป็นตามความหมายนี้
- คำว่า เพื่อจะบำบัดปัดป้องภยันตรายเท่านั้น หมายถึง การใช้กำลังตามวรรคนี้ต้องเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือการไม่ได้ใช้สิทธิของตนนั้นให้หยุด หรือพ้นไป หรือหมดไปเท่านั้น ไม่ได้เป็นการกระทำต่อผู้ที่มาก่อให้เกิดความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือการไม่ได้ใช้สิทธิของตน จนทำให้เกิดอันตราย หรือเกิดความเสียหายแก่ผู้ที่มาก่อความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือแก่ผู้ที่มาขัดขวางการใช้สิทธิของตนนั้น
- หากเป็นการกระทำโดยวัตถุประสงค์อื่น เช่น กระทำเพื่อแกล้งผู้ที่มาก่อความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือแกล้งผู้ที่มาขัดขวางการใช้สิทธิของตน ไม่อยู่ในความหมายตามวรรคนี้
- คำว่า บำบัดปัดป้อง ตัวบทภาษาอังกฤษใช้คำว่า averting หมายความว่า หลีกเลี่ยง ตรงกับความหมายของคำว่า ปัดป้อง ซึ่งหมายถึง หลบเลี่ยง หรือกันให้พ้นไป
- ตามมาตรา 451 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ถ้าบุคคลผู้ใดกระทำการดังกล่าวมาในวรรคต้น เพราะหลงสันนิษฐานพลาดไปว่ามีเหตุจำเป็นที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลอื่น แม้ทั้งการที่หลงพลาดไปนั้นจะมิใช่เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของตน หมายความว่า
- คำว่า ถ้าบุคคลผู้ใดกระทำการดังกล่าวมาในวรรคต้น หมายถึง ผู้กระทำได้กระทำตามที่กล่าวมาในวรรคหนึ่งแล้ว
- คำว่า เพราะหลงสันนิษฐานพลาดไปว่า หมายถึง เข้าใจผิดในข้อเท็จจริง หรือพฤติการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปว่า
- คำว่า มีเหตุจำเป็นที่จะทำได้ หมายถึง มีพฤติการณ์ หรือมีเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือการไม่ได้ใช้สิทธิของตน ซึ่งจะทำให้ตนเองสามารถใช้กำลังเพื่อหลีกเลี่ยงความรำคาญ หรือความหงุดหงิด หรือการไม่ได้ใช้สิทธิของตนนั้นได้ ตามที่กล่าวมาในวรรคหนึ่ง
- คำว่า โดยชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง ผู้กระทำสามารถทำได้ตามวรรคหนึ่ง
- คำว่า ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลอื่น หมายถึง ผู้กระทำจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่บุคคลอื่น หรือแก่เจ้าของทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของตนที่เข้าใจผิดในข้อเท็จจริง หรือพฤติการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
- คำว่า แม้ทั้งการที่หลงพลาดไปนั้นจะมิใช่เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของตน หมายถึง แม้การที่ผู้กระทำเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง หรือพฤติการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปนั้น จะเกิดเนื่องจากผู้กระทำได้ใช้ความระมัดระวัง หรือในการตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือพฤติการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอย่างดีแล้วก็ตาม เช่น น้ำฝนที่กระเด็นเข้ามาในบ้านผู้กระทำเกิดจากน้ำฝนที่ตกจากกันสาดของบ้านผู้กระทำเอง ไม่ได้ตกจากกันสาดของบ้านข้างเคียง แต่ผู้กระทำเข้าใจว่าน้ำฝนดังกล่าวตกมาจากกันสาดของบ้านข้างเคียง แม้ว่าผู้กระทำจะได้ดูอย่างดีแล้ว หรือให้คนในบ้านมาช่วยดูด้วยก็ตาม แต่เนื่องจากฝนตกหนัก และกันสาดบ้านของผู้กระทำกับกันสาดของบ้านข้างเคียงอยู่ติดกันมาก จนทำให้ผู้กระทำเข้าใจผิด จึงได้นำแผ่นไม้มาบังน้ำฝนที่กระเด็นตกมาจากกันสาดบ้านของผู้กระทำ จนทำให้น้ำฝนนั้นกระเด็นเข้าไปโดนทรัพย์สินในบ้านข้างเคียงได้รับความเสียหาย ดังนี้ แม้ความเสียหายที่เกิดกับทรัพย์สินในบ้านข้างเคียง จะไม่ได้เกิดจากความประมาทของผู้กระทำ เพราะผู้กระทำได้ตรวจสอบเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม แต่เมื่อความเสียหายที่เกิดกับทรัพย์สินในบ้านข้างเคียงนั้น เกิดจากการกระทำของผู้กระทำ โดยไม่มีพฤติการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างที่ผู้กระทำเข้าใจ อันจะทำให้ผู้กระทำสามารถทำได้ตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้กระทำก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 438 ให้แก่เจ้าของบ้านข้างเคียงที่ได้รับความเสียหายจากน้ำฝนดังกล่าว ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าของบ้านเคียงไม่ได้มีส่วนผิด หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นแต่อย่างใด