1. บันดาลโทสะ
มาตราสำคัญ
72
สาระสำคัญ
- ตามมาตรา 72 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ หมายความว่า
- คำว่า บันดาลโทสะ หมายถึง เกิดความโมโห หรือความโกรธอย่างมาก เกินกว่าที่ผู้นั้นจะยับยั้งได้ จึงได้กระทำการไปด้วยความโมโห หรือความโกรธนั้น แต่การบันดาลโทสะต้องเกิดจากการข่มเหงเท่านั้น ถ้าเกิดจากสาเหตุอื่น ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- คำว่า โดยถูกข่มเหง หมายถึง การถูกกระทำ หรือถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกใส่ความ หรือถูกกระทำในลักษณะที่ไม่สุภาพ หรือไม่สมควร หรือถูกกระทำในลักษณะอื่น ๆ ก็ได้ เช่น การทำร้ายร่างกาย โดยผู้ข่มเหงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะกระทำเช่นนั้นได้ ถ้าผู้ข่มเหงมีเหตุตามกฎหมายที่จะกระทำได้ ไม่เรียกว่า เป็นการข่มเหง เช่น นายจ้างว่ากล่าวตักเตือนลูกจ้างให้ปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้าง ที่ได้ให้ไว้โดยชอบในการทำงานให้แก่นายจ้าง การว่ากล่าวตักเตือนในการปฏิบัติงาน ถือเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับบัญชาตามปกติ การว่ากล่าวตักเตือนของนายจ้างจึงไม่ถือเป็นการข่มเหง แต่ในการบังคับบัญชาลูกจ้างนั้น นายจ้างไม่มีอำนาจตบหน้าลูกจ้าง ถ้านายจ้างตบหน้าลูกจ้างแม้จะเนื่องจากการปฏิบัติงานของลูกจ้างก็ตาม ก็ถือว่าการกระทำของนายจ้างดังกล่าวเป็นการข่มเหงต่อลูกจ้างแล้ว
- คำว่า อย่างร้ายแรง หมายถึง อย่างมาก ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความรู้สึกอย่างรุนแรงเกินกว่าที่บุคคลธรรมดาจะระงับความโมโห หรือความโกรธไว้ได้ ในการพิจารณาว่า การข่มเหงนั้นเกิดผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้กระทำความผิดอย่างรุนแรงหรือไม่ ต้องนำข้อเท็จจริงทาง สภาวะร่างกายและจิตใจ อายุ ความเจ็บป่วย เพศ สถานะทางสังคมของผู้กระทำความผิด สภาพแวดล้อมขณะเกิดการข่มเหง เช่น เกิดต่อหน้าคนจำนวนมากหรือไม่ มาประกอบการพิจารณาด้วย
- ในทางกลับกันถ้าเป็นการกระทำเพียงเล็กน้อย แต่ผู้กระทำความผิดกลับรู้สึกโกรธ หรือโมโหอย่างมากผิดปกติธรรมดา ไม่อยู่ในความหมายของมาตรานี้ เพราะหากยอมให้มีการอ้างเช่นนั้นได้ ย่อมเป็นการส่งเสริมให้บุคคลในสังคมกระทำการต่าง ๆ ด้วยการใช้อารมณ์เป็นหลักโดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ทั้งยังจะเป็นช่องทางให้มีการยกเหตุตามมาตรานี้ขึ้นอ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ได้
- คำว่า ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม หมายถึง ไม่มีกฎหมายที่ให้ทำเช่นนั้นได้ ถ้ามีกฎหมายให้กระทำได้ ย่อมไม่อยู่ในความหมายนี้ ในกรณีนับตั้งแต่
- มีกฎหมายห้ามมิให้กระทำเช่นนั้นโดยตรง เช่น ห้ามทำร้ายร่างกาย หากมีผู้ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ย่อมถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ข่มเหงผู้อื่นตามมาตรานี้แล้ว
- ไม่มีกฎหมายห้ามไว้โดยตรง ดังนี้ ตามปกติบุคคลต่าง ๆ ย่อมมีเสรีภาพที่จะกระทำการต่าง ๆ ได้ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่หากเป็นการกระทำที่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้อื่นแล้ว การกระทำเช่นนั้นจะทำได้ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ทำได้เท่านั้น ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ทำเช่นนั้นได้ แต่ผู้กระทำไปกระทำต่อผู้อื่น ย่อมถือเป็นการกระทำด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามมาตรานี้แล้ว เช่น เจ้าของที่ดินที่มีรากไม้รุกล้ำเข้ามา มีอำนาจตัดรากไม้ที่รุกล้ำเข้ามา และเอาไว้ได้ ตามป.พ.พ. มาตรา 1347 แม้ตามมาตรา 1347 จะไม่ได้ห้ามเจ้าของที่ดินว่ากล่าวผู้ครอบครองที่ดินติดต่อข้างเคียงในเรื่องรากไม้รุกล้ำนี้ก็ตาม แต่การว่ากล่าวกันย่อมถือเป็นการกระทบกระทั่งต่อสิทธิในชื่อเสียงของบุคคลอื่นแล้ว เมื่อมาตรา 1347 ไม่ได้ให้อำนาจเจ้าของที่ดินดังกล่าวที่จะไปว่ากล่าวผู้ครอบครองที่ดินติดต่อข้างเคียงในเรื่องรากไม้รุกล้ำนี้ได้ หากเจ้าของที่ดินดังกล่าวไปว่ากล่าวผู้ครอบครองที่ดินติดต่อข้างเคียง ย่อมถือว่าการว่ากล่าวของเจ้าของที่ดินดังกล่าวเป็นการกระทำด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามมาตรานี้แล้ว
- คำว่า จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหง หมายถึง ผู้กระทำได้กระทำความผิดด้วยความโมโห หรือความโกรธต่อผู้ข่มเหง ในกรณีนี้ หมายถึง เฉพาะผู้ข่มเหงเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่รวมถึงบุคคลในครอบครัวของผู้ข่มเหง เช่น บิดามารดา ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ลูกหลานเหลน หรือสามีภริยา ของผู้ข่มเหงด้วย ทั้งไม่หมายถึง ลูกจ้างภายในบ้าน หรือในสถานที่ทำงานของผู้ข่มเหง และไม่หมายถึง เพื่อน ครูอาจารย์ของผู้ข่มเหงด้วย หากผู้กระทำไปกระทำความผิดต่อบุคคลดังกล่าวแล้ว ย่อมไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
- คำว่า ในขณะนั้น หมายถึง ในขณะที่กำลังโมโห หรือกำลังโกรธอยู่ ไม่ได้หมายถึงในขณะที่กำลังถูกข่มเหงอยู่ แม้ว่าในขณะที่ถูกข่มเหงอยู่นั้น ผู้กระทำไม่รู้สึกโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหง แต่เมื่อเวลาผ่านไป หรือเมื่อผู้กระทำกลับมาถึงบ้านแล้วจึงเกิดบาดแผลขึ้น หรือเห็นบาดแผล หรือเห็นผลจากการข่มเหงนั้น ผู้กระทำเกิดรู้สึกโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหงขึ้นมาทันที จึงได้กลับไปทำร้ายผู้ข่มเหงในขณะที่กำลังโมโห หรือกำลังโกรธอยู่นั้น ก็ถือว่า ผู้กระทำได้กระทำโดยบันดาลโทสะต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นตามความหมายในมาตรานี้แล้ว
- แต่ถ้าในขณะที่ถูกข่มเหงอยู่นั้น ผู้กระทำไม่รู้สึกโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหง แต่เมื่อเวลาผ่านไป หรือเมื่อผู้กระทำกลับมาถึงบ้านแล้วจึงเกิดบาดแผล หรือเห็นบาดแผล หรือเห็นผลจากการข่มเหงนั้น ผู้กระทำเกิดรู้สึกโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหงขึ้นมาทันที แต่ผู้กระทำก็ไม่ได้กลับไปทำร้ายผู้ข่มเหงในขณะที่กำลังโมโห หรือกำลังโกรธอยู่นั้น จนเวลาผ่านไปเมื่อผู้กระทำหายโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหงแล้ว แต่เมื่อผู้กระทำคิดถึงเรื่องที่ถูกข่มเหงจึงได้กลับไปทำร้ายผู้ข่มเหง ดังนี้ การกระทำของผู้กระทำไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้ แต่ถือว่าเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
- ในทางกลับกันในขณะที่ถูกข่มเหงอยู่นั้น ผู้กระทำรู้สึกโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหง แต่เมื่อเวลาผ่านไป หรือเมื่อผู้กระทำกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็ไม่รู้สึกโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหงแล้ว แต่ผู้กระทำเมื่อผู้กระทำคิดถึงเรื่องที่ถูกข่มเหงจึงได้กลับไปทำร้ายผู้ข่มเหง ดังนี้ การกระทำของผู้กระทำไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้ แต่ถือว่าเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเช่นกัน
- หรือในขณะที่ถูกข่มเหงอยู่นั้น ผู้กระทำรู้สึกโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหง แต่เมื่อเวลาผ่านไป หรือเมื่อผู้กระทำกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็ยังรู้สึกโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหงอยู่ แต่ผู้กระทำก็ไม่ได้กลับไปทำร้ายผู้ข่มเหงในขณะที่กำลังโมโห หรือกำลังโกรธอยู่นั้น จนเวลาผ่านไปเมื่อผู้กระทำหายโมโห หรือโกรธผู้ข่มเหงแล้ว แต่เมื่อผู้กระทำคิดถึงเรื่องที่ถูกข่มเหงจึงได้กลับไปทำร้ายผู้ข่มเหง ดังนี้ การกระทำของผู้กระทำไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้ แต่ถือว่าเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเช่นเดียวกัน
- คำว่า ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ หมายถึง ศาลจะลดโทษให้ผู้กระทำสำหรับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นนั้นน้อยลงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้นั้นเพียงใดก็ได้ แต่จะไม่ลงโทษผู้กระทำสำหรับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นนั้นเลยไม่ได้
- อย่างไรก็ตามเป็นการวางโทษผู้กระทำสำหรับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่โทษที่ผู้กระทำจะต้องได้รับจริง ๆ เมื่อศาลลดโทษให้แก่ผู้กระทำแล้ว และโทษที่ลดลงแล้วนั้น เป็นโทษจำคุกที่เหลือระยะเวลาน้อยกว่า 5 ปี หรือศาลวางโทษผู้กระทำแต่เพียงโทษปรับเท่านั้น ถ้าผู้กระทำมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 56 (1) – (3) ศาลก็อาจจะรอการลงโทษผู้กระทำไว้ก่อนตามมาตรา 56 ก็ได้ มาตรานี้ไม่ได้ห้ามศาลรอการลงโทษผู้กระทำตามมาตรา 56 แต่อย่างใด
- หรือถ้าโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นนั้น เป็นโทษจำคุกที่มีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี หรือมีแต่โทษปรับเท่านั้น ศาลก็อาจจะรอการกำหนดโทษแก่ผู้กระทำไว้ก่อนตามมาตรา 56 แล้วจึงค่อยมาวางโทษ และลดโทษแก่ผู้กระทำให้น้อยลงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ในภายหลังก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติศาลมักไม่ค่อยใช้วิธีนี้ เพราะตามปกติศาลไทยก็มักจะไม่ค่อยใช้วิธีรอการกำหนดโทษในคดีต่าง ๆ อยู่แล้ว เนื่องจากมองว่าเป็นภาระแก่ผู้อื่นที่จะต้องมากำหนดโทษให้แก่ผู้กระทำเมื่อมีการฝ่าฝืนเงื่อนไขที่การรอการกำหนดโทษไว้ในภายหลัง อีกทั้งการทำเช่นนั้น จะมีผลเหมือนกับผู้กระทำไม่ได้รับโทษเลย แต่ตามมาตรานี้กำหนดให้ศาลต้องลงโทษแก่ผู้กระทำ จะไม่ลงโทษเลยไม่ได้ การทำเช่นนั้นอาจทำให้มีผู้โต้แย้งได้ว่าน่าจะไม่ถูกต้องตามมาตรานี้