1. การกระทำของสามีภริยา และญาติ

มาตราสำคัญ

71

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา 71 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถึงมาตรา 336 วรรคแรก และมาตรา 341 ถึงมาตรา 364 นั้น ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยา หรือภริยากระทำต่อสามี ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หมายความว่า
    • คำว่า ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถึงมาตรา 336 วรรคแรก และมาตรา 341 ถึงมาตรา 364 นั้น หมายถึง เป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เท่านั้น ถ้าเป็นการกระทำความผิดในฐานอื่น ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้ ความผิดตามมาตรานี้รวมถึง มาตรา 336 ทวิ ด้วย เพราะมาตรา 336 ทวิ เป็นเพียงบทเพิ่มโทษของมาตรา 335 เท่านั้น ไม่ใช่ความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากจากมาตรา 335
    • คำว่า ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยา หรือภริยากระทำต่อสามี หมายถึง สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายโดยการจดทะเบียนสมรส ตามป.พ.พ. มาตรา 1457 เท่านั้น สามีเป็นผู้กระทำความผิดต่อทรัพย์ของภริยา หรือภริยาเป็นผู้กระทำความผิดต่อทรัพย์ของสามี ในกรณีนี้หมายถึง สินส่วนตัว และสินสมรสด้วย
      • ทรัพย์ที่ถูกกระทำจะต้องเป็นของสามี หรือภริยา หรือทั้งสองฝ่ายรวมกันเท่านั้น ถ้ามีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
      • ถ้าชายและหญิงอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แม้ว่าทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน จะถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์รวมของทั้งสองฝ่าย ก็ไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
      • แต่ถ้าทรัพย์ที่ภริยาครอบครองอยู่ และถูกกระทำตามมาตรานี้ เป็นของสามีซึ่งเป็นผู้กระทำนั้นเอง แต่สามีซึ่งเป็นผู้กระทำนั้น เข้าใจผิดว่าเป็นของภริยาที่เป็นผู้ครอบครองอยู่ ดังนี้ เป็นเรื่องการขาดองค์ประกอบของความผิด เพราะเมื่อทรัพย์ที่ถูกกระทำนั้นเป็นของสามีซึ่งเป็นผู้กระทำนั้นเอง การกระทำเกี่ยวกับทรัพย์ของตนเอง ย่อมไม่เป็นความผิดตามที่ระบุเอาไว้ในวรรคนี้ การกระทำของสามีจึงไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้ ในทางกลับกันถ้าภริยากระทำต่อสามี แต่ทรัพย์ที่ถูกกระทำเป็นของภริยาเอง ย่อมมีผลเช่นเดียวกัน
    • คำว่า ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หมายถึง สามีหรือภริยา ผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้ ไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำไป เพราะถือว่าสามีหรือภริยา ย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกันอยู่แล้วตามกฎหมาย การอุปการะเลี้ยงดูจึงรวมถึงการให้ทรัพย์แก่อีกฝ่ายหนึ่งด้วย ดังนั้น การกระทำความผิดของสามีหรือภริยาตามมาตรานี้ จึงมีผลเหมือนกับเป็นการเอาทรัพย์ที่สามีหรือภริยาอีกฝ่ายอาจจะให้แก่ตนตามหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูอยู่แล้วไป โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น มาตรานี้จึงไดับัญญัติ ให้สามีหรือภริยาผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ ถือเป็นเหตุยกเว้นโทษอย่างหนึ่งตามป.อ.
      • แม้สามีหรือภริยาผู้กระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษ แต่การกระทำตามมาตรานี้ยังถือเป็นความผิดตามป.อ.อยู่ ดังนั้นหากสามีหรือภริยาผู้กระทำความผิดได้ร่วมกระทำกับบุคคลภายนอกต่อทรัพย์ของอีกฝ่ายหนึ่ง สามีหรือภริยาผู้กระทำความผิดย่อมไม่ต้องรับโทษตามมาตรานี้ โดยถือเป็นเหตุส่วนตัวของสามีหรือภริยาผู้กระทำความผิดนั้นเอง แต่บุคคลภายนอกที่ร่วมกระทำความผิดด้วย ย่อมไม่ได้รับยกเว้นโทษตามมาตรานี้แต่อย่างใด
  • ตามมาตรา 71 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ความผิดดังระบุมานี้ ถ้าเป็นการกระทำที่ผู้บุพการีกระทำต่อผู้สืบสันดาน ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการี หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทำต่อกัน แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และนอกจากนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ หมายความว่า
    • คำว่า ความผิดดังระบุมานี้ หมายถึง ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในวรรคแรก
    • คำว่า ถ้าเป็นการกระทำที่ผู้บุพการีกระทำต่อผู้สืบสันดาน ผู้สืบสันดานกระทำต่อบุพการี หมายถึง ผู้บุพการี คือ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด ผู้สืบสันดาน คือ ลูก หลาน เหลน ลื่อ การเป็นผู้บุพการี และผู้สืบสันดานถือตามความเป็นจริง ไม่จำต้องชอบด้วยกฎหมายก็ได้ ก็อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
      • การเป็นผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ต้องถือตามความเป็นจริง เนื่องจากป.พ.พ. ไม่ได้กำหนดว่า การเป็นบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด กับลูก หลาน เหลน ลื่อ หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จะต้องทำอย่างไร จึงจะถือว่าชอบด้วยกฎหมาย ไม่เหมือนกรณีของสามีภริยาได้กำหนดให้จดทะเบียนสมรส จึงจะถือว่าเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามป.พ.พ. มาตรา 1457 หรือกรณีบิดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาเด็ก ได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร จึงจะถือว่าเป็นบิดากับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามป.พ.พ. มาตรา 1547 ส่วนบิดาที่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาเด็ก ก็ไม่ได้มีกำหนดไว้ ดังนั้น การเป็นบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด กับลูก หลาน เหลน ลื่อ หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จึงต้องถือตามความเป็นจริง ตามหลักการสืบสาโลหิต ในปัจจุบันใช้ว่า สืบสายโลหิต
      • ลุงป้าน้าอา ไม่อยู่ในความหมายของผู้บุพการีตามมาตรานี้
      • บุตรบุญธรรม กับผู้รับบุตรบุญธรรม ตามป.พ.พ. กำหนดให้มีสิทธิหน้าที่ต่อกันในทางแพ่งเท่านั้น บุตรบุญธรรม กับผู้รับบุตรบุญธรรม ไม่ได้เป็นผู้บุพการี และผู้สืบสันดานต่อกันตามความเป็นจริง จึงไม่อยู่ในความหมายตามมาตรานี้
    • คำว่า พี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน หมายถึง พี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันตามความเป็นจริง เช่นเดียวกับผู้บุพการี และผู้สืบสันดาน
    • คำว่า กระทำต่อกัน หมายถึง กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในวรรคแรกต่อกัน
    • คำว่า แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ หมายถึง หากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในวรรคแรกต่อกัน ก็เป็นความผิดอันยอมความได้ แม้ว่าในมาตรานั้น ๆ จะไม่ได้ระบุให้เป็นความผิดอันยอมความได้ก็ตาม ในกรณีนี้ผู้บุพการี หรือผู้สืบสันดาน หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ย่อมสามารถถอนคำร้องทุกข์ที่แจ้งความอีกฝ่ายหนึ่งไว้ก่อนที่คดีจะถึงที่สุดได้
    • คำว่า และนอกจากนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ หมายถึง นอกจากจะเป็นความผิดอันยอมความได้แล้ว ตามวรรคนี้ยังกำหนดให้ศาลลงโทษผู้บุพการี หรือผู้สืบสันดาน หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดน้อยลงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ เช่นเดียวกับความหมายในมาตรา 64 และมาตรา 72
ณ ห้องว่างกลางหมู่ดาว กฎหมาย