1. การไม่รู้กฎหมาย

มาตราสำคัญ

64

สาระสำคัญ

  • ตามมาตรา  64  ที่บัญญัติว่า  บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  ตามสภาพและพฤติการณ์  ผู้กระทำความผิดอาจจะไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด  ศาลอาจอนุญาตให้แสดงพยานหลักฐานต่อศาล  และถ้าศาลเชื่อว่าผู้กระทำไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้น  ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ หมายความว่า
    • คำว่า บุคคล หมายถึง คนทุกคนในประเทศ ไม่ได้ใช้คำว่า บุคคลใด หรือผู้ใด  มาตรานี้เป็นหลักการที่สำคัญอย่างหนึ่งของกฎหมายอาญา และหลักการดังกล่าวนี้ถือเป็นหลักกฎหมายทั่วไปอย่างหนึ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยโรมันแล้ว หากยอมให้มีการแก้ตัว หรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้เป็นประเด็นขึ้นในคดีอาญาหรือคดีแพ่งได้แล้ว  เกือบทุกคดีของทุกประเทศย่อมมีประเด็นนี้รวมอยู่ด้วยเสมอ  แม้ว่าข้อต่อสู้ในประเด็นนี้ในคดีส่วนใหญ่ จะไม่ได้ทำให้คดียุ่งยากมากขึ้นก็ตาม แต่ก็เป็นช่องทางให้คู่ความที่ไม่สุจริตสามารถนำมาใช้เพื่อประวิงคดี หรือทำให้เกิดความล่าช้า หรือทำให้ผู้ดำเนินคดีอื่น ๆ เกิดความเบื่อหน่ายในการดำเนินคดี ทั้งเมื่อเกิดเป็นประเด็นขึ้นในคดีแล้ว ศาลก็จะต้องยกขึ้นวินิจฉัยในคำพิพากษาด้วย เพราะคดีอาญาเป็นเรื่องที่กระทบสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ดังนั้น ในคำพิพากษาของศาลย่อมต้องวินิจฉัยให้คู่ความในทุกประเด็นเสมอ เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้แก่คู่ความในคดีนั้น ๆ ซึ่งทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีแต่ละคดีอาจต้องใช้ระยะเวลาเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลกระทบไปถึงคดีอื่นที่รอการพิจารณาคดีอยู่ได้ แต่หลักการนี้ไม่ใช่หลักการคุ้มครองสิทธิของจำเลยในคดีอาญา ตรงกันข้ามกลับเป็นการจำกัดสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยเสียด้วยซ้ำ  ดังนั้น ในการดำเนินคดีอาญาตามป.อ. นี้ หากมีการจำกัดสิทธิในการดำเนินคดีของคู่ความอย่างใด ก็จะต้องมีกฎหมายบัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้โดยชัดเจน มิฉะนั้นย่อมไม่สามารถนำหลักการดังกล่าวนั้น มาใช้ในการดำเนินคดีอาญาได้
      • นอกจากนี้หากมีการยอมให้มีการอ้าง หรือยกข้อต่อสู้เช่นนี้ได้ ย่อมทำให้การบังคับใช้กฎหมายในสังคมไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เนื่องจากประชาชนก็จะไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในสังคมอีก ทั้งนี้เพราะเมื่อถูกดำเนินคดีก็สามารถอ้างได้ว่า ตนเองไม่รู้ว่ามีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ถ้าหากทราบตนเองก็จะไม่กระทำอย่างแน่นอน เพื่อให้ไม่ต้องรับผิดจากการกระทำที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่มีเจตนาที่จะฝ่าฝืนกฎหมายนั่นเอง ระบบกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ก็จะเป็นอันไร้ผล
      • หลักการนี้มีไว้เพื่อให้การดำเนินคดีอาญาไปเป็นด้วยความสุจริต สอดคล้องกับหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่า การใช้สิทธิต้องกระทำโดยสุจริต  ทั้งเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดในข้อที่จำเลยถูกกล่าวหาโดยเร็ว ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์แก่คู่ความทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้เพราะหากจำเลยไม่ได้กระทำความผิด ในบางคดีจำเลยอาจต้องถูกควบคุมตัวไว้ จำเลยก็จะได้รับการปล่อยตัวโดยเร็ว
      • มาตรานี้ตรงกับสุภาษิตกฎหมายโรมัน คือ การไม่รู้กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัว (ignorantia juris non excusat) หรือ (ignorantia legis neminem excusat) ทั้งมีสุภาษิตกฎหมายโรมันที่เกี่ยวข้อง คือ จะถือว่ามีคนไม่รู้กฎหมายไม่ได้ (nemo censetur ignorare legem) รวมทั้ง การไม่รู้กฎหมายเป็นสิ่งอันตราย (ignorantia juris nocet) และ อย่าอ้างว่าไม่รู้กฎหมายที่ทุกคนต้องรู้ (ignorantia juris quod quisque scire tenetur non excusat)
    • คำว่า จะแก้ตัวว่า หมายถึง การยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ เพื่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นในคดีนั้น ๆ
      • ซึ่งหากยอมให้จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การได้แล้ว ข้อต่อสู้ดังกล่าวก็จะเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีนั้น และจำเลยย่อมสามารถที่จะนำพยานเข้าสืบในประเด็นดังกล่าวได้ รวมทั้งศาลก็จะต้องยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยในคำพิพากษาด้วย ดังนั้นการยอมให้จำเลยยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นต่อสู้ในคำให้การได้หรือไม่ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ
    • คำว่า ไม่รู้กฎหมาย หมายความว่า  จำเลยไม่รู้ว่ามีกฎหมายบัญญัติให้การกระทำของตนเองเช่นนั้นเป็นความผิดอาญา  คือ จำเลยไม่มีเจตนาที่จะกระทำความผิดนั่นเอง ในกรณีนี้ หมายความเฉพาะกฎหมายที่บัญญัติว่า การกระทำใดเป็นความผิดเท่านั้น  กฎหมายตามความหมายนี้ นับตั้งแต่พระราชกำหนด พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ ทั้งกฎหมายใหม่และกฎหมายเก่า ในกรณีนี้ ส่วนมากมักเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับกฎหมายที่ออกมาใหม่ ๆ หรือเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติใช้บังคับเฉพาะกรณี ไม่ใช่กฎหมายที่ใช้บังคับแก่ประชาชนทั่วไป หรือกฎหมายเก่าที่ออกใช้บังคับนานแล้ว จนเป็นที่รู้กันทั่วไปในสังคม เช่น ประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ยาเสพติด ฯ พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ
      • สำหรับกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร คือ พระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทรวง หรือเทศบัญญัติ ไม่ถือเป็นกฎหมายตามมาตรานี้ แต่ถือเป็นเพียงข้อเท็จจริง เพื่อนำมาพิจารณาว่า จำเลยมีเจตนาที่จะกระทำความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือไม่
      • แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพระราชกำหนด หรือพระราชบัญญัติใดมีบทบัญญัติให้สามารถออกพระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทรวง หรือเทศบัญญัติ เพื่อบังคับตามพระราชกำหนด หรือพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ พระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทรวง หรือเทศบัญญัติดังกล่าว ย่อมถือเป็นกฎหมายตามมาตรานี้ด้วย
      • แม้ว่ามาตรานี้จะใช้ถ้อยคำว่า กฎหมาย ซึ่งหมายความถึง กฎหมายทุกฉบับ ทั้งกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาก็ตาม แต่เมื่อมาตรานี้เป็นการกล่าวถึงการดำเนินคดีอาญาเท่านั้น  ดังนั้นในกรณีนี้ จึงหมายความเฉพาะกฎหมายอาญาเท่านั้น แต่หากจำเลยยกข้อต่อสู้ว่า ไม่รู้ว่ามีกฎหมายแพ่ง หรือกฎหมายอื่น ๆ บัญญัติห้ามไว้ มีผลเท่ากับจำเลยยกข้อเท็จจริงขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ดังนี้ จำเลยย่อมสามารถยกความไม่รู้กฎหมายดังกล่าวขึ้นเป็นต่อสู้ว่า จำเลยไม่มีเจตนาที่จะกระทำความผิดได้
      • ส่วนการยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคดีแพ่งว่า ไม่รู้ว่ามีกฎหมายแพ่งบัญญัติเอาไว้นั้น ย่อมถือหลักการอย่างเดียวกับมาตรานี้ โดยถือว่าหลักการนี้เป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่ศาลสามารถนำมาใช้ได้ตามป.พ.พ. มาตรา 4
    • คำว่า  เพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้ หมายถึง จำเลยจะยกความไม่รู้กฎหมายตามมาตรานี้ ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การเพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายสำหรับการกระทำนั้นไม่ได้ แต่ถ้าจำเลยยังยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ  ข้อต่อสู้ที่จำเลยยกขึ้นนี้ ก็จะไม่ถือเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีนั้น  มีผลเหมือนกับจำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้นี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเช่นเดียวกัน
    • คำว่า  แต่ถ้าศาลเห็นว่า หมายถึง แม้ว่าจำเลยจะไม่สามารถยกข้อต่อสู้ตามมาตรานี้ขึ้นเป็นประเด็นในคำให้การได้  แต่จำเลยก็ยังสามารถกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ในคำให้การเพื่อให้ศาลเห็นข้อเท็จจริงดังกล่าวได้  หรือหากจำเลยไม่ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ขึ้นในคำให้การ จำเลยก็อาจกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ในคำร้อง หรือคำแถลงเพื่อส่งต่อศาลให้ทราบ หรือจำเลยอาจแถลงด้วยวาจาเพื่อให้ศาลทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ก็ได้เช่นกัน  เนื่องจากมาตรานี้ไม่ได้กำหนดวิธีการไว้ว่า จะต้องทำอย่างไรบ้าง ดังนั้น จำเลยจึงอาจใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้ที่สามารถทำได้โดยชอบในการดำเนินคดีตามปกติ เพื่อให้ศาลทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ก็อยู่ในความหมายตามมาตรานี้เช่นเดียวกัน
    • คำว่า ตามสภาพและพฤติการณ์ หมายถึง ตามปัจจัยภายในของผู้กระทำความผิด เช่น อ่านหนังสือไม่ออก หรือมีสติสัมปชัญญะต่ำกว่าคนปกติ หรือมีอาการมึนงง หรือไม่เข้าใจข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่รอบตัวอย่างคนปกติ เนื่องจากความเจ็บป่วย หรือเป็นคนต่างชาติเพิ่งเดินทางเข้ามาในประเทศไทย  และตามพฤติการณ์ คือ สภาพแวดล้อมภายนอก หรือปัจจัยภายนอก เช่น จำเลยมีบ้านอยู่ในชนบทห่างไกล ไม่เคยติดต่อกับคนในสังคมเป็นเวลานานแล้ว จึงไม่ทราบว่ามีกฎหมายใหม่ออกใช้บังคับ
    • คำว่า ผู้กระทำความผิดอาจจะไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด หมายถึง  การที่ใช้คำว่า ผู้กระทำความผิด แสดงว่ามีข้อเท็จจริงเป็นที่แน่นอนในคดีนั้นแล้วว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิด เช่น จำเลยให้การรับสารภาพ และรวมถึงในกรณีที่ยังไม่รู้แน่นอนว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ด้วย เพราะในขั้นตอนที่ศาลเห็นว่านี้ยังถือว่า อยู่ในระหว่างการพิจารณา ไม่ใช่ในขณะที่ศาลอ่านคำพิพากษาแต่อย่างใด  และไม่จำต้องมีข้อเท็จจริงที่แน่นอนว่า จำเลยไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด  เพราะตามมาตรานี้ใช้คำว่า อาจจะ คือ แค่ศาลสงสัยว่า จำเลยอาจจะไม่รู้ ก็อยู่ในความหมายนี้แล้ว
    • คำว่า  ศาลอาจอนุญาตให้แสดงพยานหลักฐานต่อศาล  หมายถึง สั่งให้ส่งพยานฐานหลักฐานต่อศาลเพื่อให้ศาลพิจารณาเอง  หรือสั่งให้นำพยานหลักฐานเข้าสืบพยาน เพื่อให้โจทก์ถามค้านด้วยก็ได้ หรือสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ หรือสอบถามจำเลย แล้วให้จำเลยแถลงข้อเท็จจริงด้วยวาจาต่อศาล หรือสั่งให้จำเลยส่งคำแถลงแสดงข้อเท็จจริงต่อศาล ก็อยู่ในความหมายนี้ทั้งสิ้น
    • คำว่า  ถ้าศาลเชื่อว่าผู้กระทำไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้น  หมายถึง จากพยานหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการที่ศาลให้จำเลยแสดงพยานหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น แล้วศาลเชื่อว่า จำเลยไม่รู้ว่ามีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด ตามที่จำเลยกล่าวอ้างจริง
    • คำว่า  ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ หมายถึง ศาลจะลดโทษให้ผู้กระทำสำหรับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นนั้นน้อยลงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้นั้นเพียงใดก็ได้ แต่จะไม่ลงโทษผู้กระทำสำหรับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นนั้นเลยไม่ได้ เช่นเดียวกับความหมายในเรื่อง บันดาลโทสะ ตามมาตรา 72 ดังนั้น การไม่รู้กฎหมายตามมาตรานี้ จึงไม่ได้เป็นข้อยกเว้น ให้ผู้กระทำหลุดพ้นจากความผิด เพราะไม่มีเจตนาจะกระทำความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แต่อย่างใด คงเป็นเพียงเหตุลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดเท่านั้น
ณ ห้องว่างกลางหมู่ดาว กฎหมาย